fbpx

เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ

บอกลาปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านอย่างไร ให้ได้ผลและปลอดภัย

         ก่อนอื่นทุกคนควรเข้าใจก่อนว่า ผมร่วง  (Hair Fall) ผมบาง (Thinning Hair)  ศีรษะล้าน (Baldness) เป็นเพียงอาการ (Symptom) ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นโรคอะไร (Disease) เปรียบเปรยได้กับอาการไข้ (Fever) ไม่ได้บ่งบอกได้เลยว่าเป็นโรคอะไร ถ้าเรารับประทานเพียงยาลดไข้ เราก็จะแค่บรรเทาอาการ แต่ไม่สามารถรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุจริงๆ ได้ บางครั้งอาจอำพรางจนทำให้เราแก้ไขต้นเหตุได้ช้าลง  พยาธิสภาพของโรครุนแรงและเป็นมากขึ้น จนเราแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ได้ผล  ดังนั้นถ้าใครมีปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะเลือกวิธีในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้รักษาได้ผลตามสาเหตุของผมร่วง และปลอดภัย

        โดยปกติสาเหตุของผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ มีสาเหตุทั้งจากโรค หรือภาวะทางกาย (Physical illness) และ/หรือภาวะทางจิตใจ (Mental Health / Disorders) หมอขอแบ่งเป็นสาเหตุหลักให้เข้าใจได้ง่ายนะครับ 

สาเหตุของผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านมีสาเหตุ 2 แบบ คือ

  1. สาเหตุที่ทำให้เซลล์รากผม (Hair Stem Cell) ถูกทำลายอย่างถาวร (Permanent Hair Damage) ทั้งที่เป็นแบบรวดเร็ว เช่น ถูกน้ำร้อนลวก, ไฟไหม้, อุบัติเหตุ หรือแบบค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ ซึ่งแบบหลังนี้บางครั้งเราจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำครับ แต่จะเห็นชัดเจน คือ เป็นมากจนศีรษะล้านไปแล้วครับ เช่น ภาวะผมร่วงจากพันธุกรรมและฮอร์โมนเพศ (Androgenetic : MPHL , FPHL) ผลการรักษาของกลุ่มนี้มักจะได้ผลน้อย หรือไม่ได้ผลเลย บางครั้งต้องใช้การแก้ไขโดยการผ่าตัด เช่น ปลูกผมถาวร (Hair Transplant) การตัดต่อหนังศีรษะ (Scalp Reduction Surgery) เป็นต้น
  2. สาเหตุที่ทำให้เซลล์รากผม หรือวงจรชีวิตของผม (Life Hair Cycle) ถูกรบกวนชั่วคราว (Temporary Hair Damage) มีทั้งความเจ็บป่วยทางจิตใจ เช่น ความเครียดรุนแรง (Severe Stress) ความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) ภาวะหลังคลอดบุตร เป็นต้น ความเจ็บปวดทางกาย เช่น โรคโลหิตจาง โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้ไทรอยด์ ผลข้างเคียงจากการให้เคมีบำบัด หรือฉายรังสี เป็นต้น สาเหตุแบบนี้ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเราแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด อาการผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านก็จะหายขาด หรือในบางกรณีก็จะสามารถหายได้เอง

         ปัจจุบันเคสที่หมอพบได้บ่อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีภาวะผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านจากฮอร์โมน หรือพันธุกรรมครับ และพบในกลุ่มของผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอีกด้วย การที่มีภาวะผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านจากฮอร์โมน หรือพันธุกรรมนั้นถือเป็นสาเหตุที่แก้ไขให้หายขาดได้ยาก และต้องใช้เวลาในการรักษาต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้แปลว่ารักษาไม่ได้นะครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขภาพและการตอบสนองการรักษาของคนไข้แต่ละบุคคลครับ

การแก้ไข หรือรักษาภาวะผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านจากฮอร์โมน หรือพันธุกรรม (Androgenetic : MPHL , FPHL)

กลุ่มที่ 1 สำหรับคนที่เซลล์รากผมตายอย่างถาวร คาดหวังให้ผลกลับมาตามเดิม

สำหรับคนที่คาดหวังว่าบริเวณที่ศีรษะล้าน (Baldness Area) คือ บริเวณที่หนังศีรษะเตียนไปแล้วไม่มีผมขึ้นอีก เซลล์รากผมตายอย่างถาวร มีทางเลือกในการแก้ไขตามความเหมาะสม ตามการคาดหวัง และความสะดวกในการดูแลตัวเอง ดังนี้

  1. การรักษาเพื่ออำพราง (Camouflage Technique) โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ใช้การต่อผม (Hairpieces) การใส่วิก (Hari Wig) การสักสีแทนเส้นผมเดิม (Micropigmentation / Hair Tattoo)
  2. การผ่าตัด (Surgery)
  • การผ่าตัดลดขนาดบริเวณศีรษะล้าน (Baldness Area) ให้เล็กลง หรือตัดออกเลย ขึ้นอยู่กับขนาดบริเวณศีรษะล้าน (Scalp Reduction Surgery)
  • ศัลยกรรมปลูกผมถาวร Hair Transplantation Surgery หรือ Hair Restoration Surgery คือ การย้ายเซลล์รากผมจากบริเวณที่แข็งแรง (Donor Area) และมีการเติบโตของเซลล์รากผมที่เป็นอิสระจากฮอร์โมนและพันธุกรรมซึ่งเป็นสาเหตุให้ผมร่วง เช่น ขมับ และท้ายทอย มาปลูกใหม่ในบริเวณที่ศีรษะล้าน (Baldness Area or Recipient Area) ปัจจุบันมี 2 เทคนิค คือ
    • FUT (Follicular Unit Transplantation) คือ การผ่าตัดที่แพทย์จะเก็บ Donor โดยตัดหนังศีรษะออกมาเป็นแถบ (Strip) แล้วมาหั่นเป็นกอผม (Hair Graft) แต่ละกอผมจะประกอบด้วยเซลล์รากผมที่รวมตัวกันเป็น Follicular Unit แต่ละ Follicular Unit มีหลายขนาดตามจำนวนเส้นผมตั้งแต่ 1, 2, 3 หรือ 4 เส้น เพื่อเลือกใช้ในแต่ละบริเวณที่ศีรษะล้าน โดยทั่วไปเพื่อให้เกิดแนวไรผมที่เป็นธรรมชาติ (Natural Hair Line Design) เรามักจะใช้ Follicular Unit ที่ประกอบด้วยเส้นผม 1-2 เส้น
บอกลาปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านอย่างไร ให้ได้ผลและปลอดภัย
    • FUE (Follicular Unit Extraction) คือ การผ่าตัดที่แพทย์จะเก็บ Donor เซลล์รากผมบริเวณท้ายทอยและขมับเหมือนกับเทคนิค FUT แต่จะเก็บเซลล์รากผมทีละกอโดยไม่ต้องผ่าตัดเอาหนังศีรษะออกมา จึงมีแผลเพียงเล็กน้อยตามขนาดของเครื่องเจาะและโดยปกติเราจะเจาะสลับในอัตรา 2-3 กอผม จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาเรื่องผมบางในบริเวณที่แพทย์เจาะเอารากผมออกมา (Donor Area) ปริมาณที่เก็บ Donor ก็จาะขึ้นอยู่กับความกว้างของบริเวณที่ศีรษะล้าน (Baldness Area)
บอกลาปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านอย่างไร ให้ได้ผลและปลอดภัย

กลุ่มที่ 2 สำหรับคนที่มีภาวะผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน คาดหวังให้ผลดีขึ้น รักษาไม่ให้มีบริเวณที่ศีรษะล้านเพิ่มขึ้น

การรักษา หรือแก้ไขภาวะผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านสำหรับคนที่มีความคาดหวังให้ภาวะผมร่วง ผมบางดีขึ้น หรือชะลอการทำลายเซลล์รากผมแบบถาวร รักษาไม่ให้มีบริเวณที่ศีรษะล้านมากขึ้น โดยไม่ได้คาดหวังว่าบริเวณที่ล้านไปแล้วจะกลับมา ปัจจุบันมีการรักษาหลายวิธีมาก ได้แก่

การรักษาแบบมาตฐานที่ได้รับการยอมรับ

1. การรับประทานยาที่มีผลต่อต้านฮอร์โมนเพศชาย โดยที่ยามีฤทธิ์ในการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงจากฮอร์โมน Testosterone ไปเป็น Dihydrotestosterone (DHT) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญร่วมกับพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์รากผมฝ่อและถูกทำลายอย่างถาวร

ตัวยาที่แนะนำให้ทาน

→ สำหรับสุภาพบุรุษ มี 2 ตัว คือ ยาฟีนาสเตอไรด์ (Finasteride) ขนาด 1 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 1 เม็ด และ ยาดูแทสเทอไรด์ (Dutasteride) ขนาด 0.5 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 1 เม็ด ประสิทธิภาพของยามีฤทธิ์ได้สูงสุดถึง 70% แต่การตอบสนองของยาจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยปกติผมจะเริ่มชะลอการร่วงและแข็งแรงขึ้น วงจรชีวิตของเซลล์รากผมจะกลับมาปกติหลังรับประทานประมาณ 4 – 6 เดือน แต่ถ้าหากเราหยุดทานยาจะสังเกตว่าภาวะผมร่วงก็จะกลับมาภายในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน

สำหรับสุภาพสตรี ยามีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนที่แนะนำให้ใช้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ขนาด 25 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 1 เม็ด ยานี้มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะด้วย (Diuretics) และมีผลข้างเคียง เช่น ทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นได้ จึงต้องมีควาระมัดระวัง และต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทาน โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจ ความดัน และเบาหวาน เป็นต้น

บอกลาปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านอย่างไร ให้ได้ผลและปลอดภัย

2. ยาใช้ภายนอกชนิดหยอด ทา หรือสเปรย์ ได้แก่ ไมน็อกซิดิล (Minoxidil) ความเข้มข้นตั้งแต่ 2% – 5% ยาดังกล่าวจะได้ผลหรือตอบสนองได้ประมาณ 20% โดยเห็นผลหลังจากใช้เป็นประจำวันละ 1 ครั้ง – 2 ครั้ง นาน 4 – 6 เดือนขึ้นไป ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ คือ สารทำละลายของยาอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะได้ ดังนั้นคนที่มีภาวะหนังศีรษะมีการระคายเคืองดังกล่าวอยู่แล้วควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ หรือแก้ไขก่อนใช้ยาตัวนี้ ในขณะเดียวกันถ้าเราหยุดใช้ยาตัวนี้ วงจรชีวิตของเส้นผมก็จะกลับมาหลุดร่วงได้เหมือนเดิม โดยจะแสดงผลหลังจากหยุดใช้ประมาณ 2 สัปดาห์ – 1 เดือน

         ดังนั้นการใช้ยาทั้งรับประทาน หรือยาทาภายนอกจำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ หากต้องการหยุดยาดังกล่าว ก็ต่อเมื่อเราไม่ได้รู้สึก หรือตระหนักว่าผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านที่มากขึ้นนั้น จะมีผลกระทบต่อจิตใจ ความรู้สึกและความมั่นใจในการเข้าสังคมของตัวเราเองแล้ว  

กลุ่มที่ 3 ทางเลือกในการรักษาที่น่าสนใจ

การรักษาทางเลือกที่น่าสนใจและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่จะสามารถนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษา ดังต่อไปนี้

  1. ทางเลือกในการรักษา (Alternative Treatment) สำหรับผู้ที่ปฎิเสธการรักษาด้วยยามาตรฐาน (Standard Treatment) และการผ่าตัดปลูกผมถาวร (Hair Transplantation Surgery) ไม่เหมาะสม หรือมีข้อห้ามในการรักษาดังกล่าว
  2. เป็นการรักษาเสริม (Additive Treatment) สำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนอง หรือตอบสนองน้อย ด้วยวิธีการรักษาแบบมาตรฐาน เพื่อให้ผลของการรักษาดีขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละบุคคล

มีวิธีที่นิยมในปัจจุบัน คือ การใช้สารกระตุ้นการเติบโตของเซลล์รากผมจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่

  • การสังเคราะห์ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ (Meso Therapy)
  • เกร็ดเลือดของตัวเราเองที่อุดมไปด้วย Growth Factor หลายชนิดที่มีประโยชน์
  • เซลล์รากผมของตัวเราเองบริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นเซลล์รากผมที่สมบูรณ์และอิสระ หรือไม่ถูกควบคุมโดยพันธุกรรมและฮอร์โมน
  • สเต็มเซลล์ (Stem Cell / Mesenchymal Stem Cells ; MSCs) เป็นต้น

มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการดูแลเส้นผมอยู่ใช่ไหม?

สำหรับใครที่สนใจเสริมจมูก หรือแก้จมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและประเมินราคาการเสริมจมูกเบื้องต้นด้วยตนเองได้ ที่นี่ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาด้านความงามของดร.กร เอสเทติค คลินิก ได้ที่ไลน์ @dr.gornaesthetique มีแพทย์ช่วยประเมินออนไลน์ได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย!

พร้อมให้บริการแล้วทั้ง 4 สาขา ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร น่าน พิษณุโลก หรืออุตรดิตถ์ ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยตรงที่มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี

บทความโดย Dr.Gorn’s Facial Plastic Teams​