พบกันอีกเช่นเคยกับสาระดี ๆ เกี่ยวกับศัลยกรรมความงามรอบดวงตานะครับ วันนี้หมอก็จะมาอธิบายในสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกคนที่มีปัญหาในเรื่องของถุงใต้ตา ก็คือสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ ผ่าตัดถุงใต้ตา หรือ เก็บหนังตาล่าง
สำหรับหมอแล้ว เรื่องที่สำคัญมากเลย คือ ทุกเคสจะต้องได้รับการตรวจแและประเมินอย่างละเอียดโดยแพทย์ เพื่อช่วยให้แพทย์ตัดสินใจเลือกเทคนิคการทำผ่าตัดที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละรายมากที่สุดครับ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผลของการผ่าตัดเป็นที่พอใจของแต่ละคน และก็ที่สำคัญเนี่ย การผ่าตัดก็ต้องได้รับความปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อนนะครับ
ซึ่งทุกคนก็คงจะทราบแล้วนะครับ ว่าภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหลังจากการผ่าตัดหนังตาล่าง หรือว่าเก็บถุงใต้ตา ที่พบบ่อยนั่นก็คืออาการ ตาแหก ตาปลิ้น( Ectropion) นะครับ ซึ่งถ้าเกิดภาวะตาแหก ตาปลิ้นแล้ว

ผลเสียที่ตามมามีหลายอย่างเลยครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความผิดหวังและบุคลิก ความมั่นใจเสียไปเลย แทนที่จะได้หนังตาที่เรียบเนียน กลับได้อาการตาแหกกลับบ้านแทน
นอกจากนี้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของอาการตาแหก ตาปลิ้น จะส่งผลเสียต่อกระจกตานะครับ เพราะว่า ทำให้เกิดอาการตาแห้ง (Dry eyes) ถ้าเกิดตาแห้งบ่อย ๆ นาน ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดแผลที่กระจกตา (Corneal ulcer) ได้ ก็จะแก้ไขได้ยากครับ
และที่สำคัญและพบบ่อยมาก ๆ ก็คือบางคนเลือกวิธีการแก้ไขถุงใต้ตาที่ผิดวิธีนะครับ แทนที่จะสวย หล่อ แต่กลับได้ผลที่ไม่น่าพอใจนะครับ อย่างเช่น ถุงใต้ตาค่อนข้างเยอะ แต่เลือกการแก้ไขโดยการฉีด Filler ยิ่งทำให้ถุงใต้ตาชัดขึ้นเป็นก้อน บางครั้งเนี่ย ทำให้เห็นเป็น Double Contour หมายถึงเป็นรอน 2 รอนนะครับ ยิ่งบางคนที่มี Dolly Eye อยู่แล้ว เห็นเป็น 3 รอน (Triple Contour) อันนี้ก็เหมือนกันนะ มักจะเป็นปัญหาที่หมอได้รับเข้ามาปรึกษานะครับ คือเลือกเทคนิคการแก้ไขปัญหาที่ไม่เหมาะกับปัญหาของเราเองนะครับ
เรามาดูกันนะครับว่าในการตัดสินใจเก็บถุงใต้ตา เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวย แก้ปัญหาได้ตรงจุด ไม่มีภาวะตาแหก ตาปลิ้น หมอจะต้องตรวจอะไรกันบ้าง
1.ภาวะภูมิแพ้ของเยื่อบุตาด้านใน (Conjunctivitis)
แพทย์จะต้องตรวจภาวะภูมิแพ้ของเยื่อบุตาด้านใน (Conjunctivitis) นะครับ เพราะว่าถ้าเกิดใครมีภาวะภูมิแพ้ของเยื่อบุตา แล้วไม่แก้ไขหรือว่ามีภาวะภูมิแพ้ที่ค่อนข้างรุนแรง หมอไม่สามารถที่จะเลือกการผ่าตัดจากแผลด้านในได้นะครับ จะต้องเลี่ยงมาใช้การผ่าตัดผ่านแผลด้านนอกแทน หรือก็จะต้องรักษาก่อน เพื่อที่จะควบคุมอาการภูมิแพ้ให้สงบนะครับ และอาจจะมาพิจารณาในการผ่าตัดผ่านแผลด้านในได้นะครับ
2.คุณภาพของหนังบริเวณใต้ตา (Eyelid Skin Quality)
คุณภาพของหนังบริเวณใต้ตา (Eyelid Skin Quality) นะครับ สิ่งที่เจอบ่อย ๆ เลยคือ บางคนโดยเฉพาะคนที่อายุค่อนข้างมากหน่อยจะมีภาวะผิวแห้ง เนื่องจากว่าบริเวณหนังตาเป็นผิวหนังที่บางที่สุดในร่างกาย จะค่อนข้างแห้งได้ง่าย เวลาผิวหนังตาแห้งจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง
อย่างแรกเลยนะครับ เวลาหมอผ่าตัดผ่านแผลด้านนอก แผลผ่าตัดก็จะหายช้านะครับ และที่สำคัญเนี่ยเวลาผิวแห้งก็จะทำให้เราคันนะครับ พอคันก็จะทำให้เราขยี้ ก็จะทำให้มีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก อย่างเช่นรอยคล้ำรอบดวงตาด้วยนะครับ
3.ตำแหน่งของคิ้วกับหนังตาบน (Eyebrow Position)
โดยเฉพาะในคนที่คิ้วตกค่อนข้างเยอะ แล้วก็หนังตาด้านบนตกลงมาเยอะ เห็นเป็นติ่งตรงหางตา (Lateral Hooding) ซึ่งถ้าเกิดมีภาวะคิ้วตกและหนังตาบนตก แต่เรามาเก็บถุงใต้ตา หรือตัดหนังใต้ตาให้เรียบเพียงอย่างเดียว ผลของการรักษาอาจจะไม่ได้เป็นที่พอใจมาก เพราะว่ามันผลลัพธ์มันไม่ไปด้วยกันระหว่างตาบนและตาล่าง ใต้ตาเรียบ แต่ข้างบนคิ้วตกนะครับ มันไม่ Harmonized กันนะครับ ถ้าใครมีปัญหาแบบนี้ยู่ หมอก็จะแนะนำให้ผ่าตัดแก้ไขตรงส่วนของคิ้วและหนังตาบนร่วมกันด้วย เพื่อให้ผลของการรักษาก็จะเป็นที่น่าพอใจครับ

4.ความหย่อนของผิวหนังบริเวณขมับ (Temporal Skin Excess)
ทุกคนลองคิดดูนะครับ ถ้าเกิดว่ามีความหย่อนตรงขมับค่อนข้างเยอะ เวลาเราตัดถุงใต้ตาก็จะเหลือหนังที่หย่อนตรงขมับลงมากองบริเวณหางตา หลังผ่าตัดใต้ตาเราดูเรียบจริง แต่ตรงด้านข้างตายังดูย่นจากผิวหนังบริเวณขมับหย่อนกองลงมา อาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ยังไม่พอใจได้ครับ บางครั้งคนที่มีภาวะความหย่อนของผิวหนังตรงนี้ค่อนข้างเยอะ ตัวหมอเองอาจจะต้องพิจารณาแนะนำเรื่องของการดึงขมับก่อนแล้วถึงจะมาเก็บถุงใต้ตาและก็เก็บหนังตาล่างอีกที เพื่อให้ได้ผลที่ Perfect หรือว่าเป็นที่พอใจมากที่สุดนั่นเองครับ

สำหรับ 2 ประเด็นสุดท้ายที่หมอจะต้องตรวจอย่างละเอียดมากๆเลย เพราะว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่จะเลือกเทคนิคการผ่าตัดนะครับ
5.ความหย่อนยานของขอบหนังตาล่างนะครับ (Horizontal Lower Lid Laxity)
ถ้าเกิดหมอประเมินแล้วปรากฏว่า ขอบของหนังตาล่างนี่หย่อนมาก ๆ เลย ซึ่งถ้าเกิดมีภาวะหย่อนแบบนี้เนี่ย คนไข้จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดตาแหก ตาปลิ้นหลังผ่าตัดเก็บถุงใต้ตาด้วยเทคนิคปกติค่อนข้างสูง ยิ่งถ้าใครต้องการให้ตัดถุงออกเยอะ ๆ ตัดหนังออกเยอะ ๆ ก็ยิ่งจะเสี่ยงมากขึ้นนะครับ
ถ้าเคสไหนมีความเสี่ยงแบบนี้ ตัวหมอเองจะต้องพิจารณาในการผ่าตัดขึงใต้ตาเพิ่มให้ด้วย เพื่อให้ตาล่างมันตึง โดยเป็นการผ่าตัด ขึงขอบหนังตาล่างกับกระดูกขอบตาด้านหน้าเพื่อป้องกันตาแหกตาปลิ้น (Tightenting Procedure) ถ้าไม่ทำผ่าตัดการขึงตาล่างด้วยและจะเกิดตาแหกแน่ๆ นะครับ โดยเฉพาะคนที่มีภาวะหย่อนของขอบหนังตาล่างค่อนข้างเยอะนะครับ

6.ความโหนกนูนของกระดูกขอบตาล่างหรือโหนกแก้ม(Midface Vector)
ประเด็นสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ เหมือนกันนะครับ คือ ความโหนกนูนนะครับ ของกระดูกขอบตาล่างหรือโหนกแก้ม(Midface Vector)
ถ้าเกิดใครมีขอบตาล่างหรือกระดูกตรงใต้ตาแบน ราบ จะถือเป็นภาวะเสี่ยงต่อการเกิดตาแหก ตาปลิ้น ได้เหมือนกันนะครับ และที่สำคัญเลยใครมีร่องใต้ตา หรือกระดูกใต้ตาบุ๋มเยอะๆ การเก็บถุงหรือเก็บหนังใต้ตาอย่างเดียวผลออกมาอาจแค่ตึง แต่ยังดูใต้ตาโบ๋ลึกครับ เพราะฉะนั้นในเคสแบบนี้

สิ่งที่ควรจะพิจารณาทำเพิ่มเติมก็คือ การฉีดสารเติมเต็ม บริเวณร่องใต้ตา หรือว่า แก้ม ขอบตาล่างนะครับ เพื่อให้ เวลาผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออกแล้วจะมีความเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันระหว่างตาล่างกับแก้ม ไม่มีรอยต่อนะครับ ช่วยให้ดูอ่อนวัย โดยปกติสารเติมเต็มที่เรานิยมนะครับในปัจจุบันก็จะมีอยู่ 2 แบบนะครับ คือ
- การฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
- การเติมไขมันตัวเอง (Fat Graft)
การฉีดฟิลเลอร์
ข้อดี
- ง่าย สะดวก สวยด่วนกว่า
- ย่อยสลายได้ (ถ้าใช้ของดี ผ่าน อย. และ แหล่งผลิตได้มาตรฐาน)
- ไม่ต้องพักฟื้น
ข้อเสีย
- ราคาแพง (ถ้าใช้ของที่มีคุณภาพ)
- เป็นสารสังเคราะห์ไม่ใช่ของเราเอง
การเติมไขมัน
ข้อดี
- เป็นสารธรมชาติของเราเอง จึงไม่ก่อให้เกิดการแพ้
- สามารถเติมทั่วหน้าได้โดยไร้ความกังวล
- ถ้าเกิดติด (Take Graft) จะอยู่ตลอดชีวิต
- ราคาสบายกระเป๋า
ข้อเสีย
- ผลของการฉีดไขมัน การอยู่รอดขึ้นอยู่กับแต่ละ. บุคคลและ เทคนิคของแพทย์
- อาจมีอาการบวมช้ำประมาน 7-10 วัน

สำหรับฟิลเลอร์เหมาะในคนที่ยอมรับวัสดุสังเคราะห์ทางการแพทย์ได้นะครับ
แต่ถ้าเกิดใครไม่ชอบสิ่งที่เป็นสารแปลกปลอม อยากใช้ของตัวเองที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ ไขมันของตัวเองนั่งเองนะครับ ทีนี้ เราก็คงเข้าใจกันแล้วว่าการแก้ปัญหาถุงใต้ตา หมอจำเป็นจะต้องประเมินอย่างละเอียดในหลาย ๆ เรื่องเพื่อประเมิณเทคนิคที่เหมาะสมและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาได้นั่นเองครับ