การศัลยกรรมถุงใต้ตา คือการผ่าตัดตกแต่งบริเวณใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นกรผ่าตัดถุงไขมันส่วนเกินออก ผ่าตัดหนังตาล่าง หรือจัดเรียงถุงไขมันที่อยู่ใต้ตาใหม่ให้สวยงาม เพื่อช่วยให้อาการถุงใต้ตาหย่อนคล้อยดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การศัลยกรรมทุกประเภทมีความเสี่ยง ไม่เว้นแม้กระทั่งการศัลยกรรมถุงบริเวณใต้ตาของเรา ดังนั้นการศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ โดยในบทความนี้ ดร.กร เอสเทติค คลินิก (Dr.Gorn Aesthetique) จะพาไปรู้จักกับ 7 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจศัลยกรรมถุงใต้ตา
ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงใต้ตา
สำหรับหมอกรแล้ว ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงบริเวณใต้ตา คนไข้ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจและประเมินอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้แพทย์ตัดสินใจเลือกเทคนิคผ่าตัดที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละรายมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผลของการผ่าตัดเป็นที่พอใจของแต่ละคน และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัย และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนให้ได้มากที่สุด
ซึ่งสาเหตุที่ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม เพราะการศัลยกรรมถุงบริเวณใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหนังตาล่าง หรือเก็บถุงใต้ตา หากวางแผนการรักษาได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอาการตาแหก ตาปลิ้นได้
ผลเสียที่ตามมาก็คือ ทำให้เกิดความผิดหวัง เสียบุคลิกภาพ และความมั่นใจ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสุขภาพดวงตา ไม่ว่าจะเป็นอาการตาแห้ง (Dry eyes) ที่นำไปสู่การเกิดแผลที่กระจกตา (Corneal ulcer)
การที่เราศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงใต้ตาอย่างละเอียด และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง ก็จะช่วยให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้นั่นเอง
สำหรับใครที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถกดดูคลิปวิดีโอสิ่งที่ควรรู้ก่อนผ่าตัดถุงใต้ตา / เก็บรอยย่นหนังตาล่าง จากหมอกรที่ด้านล่างนี้ได้เลย
รวม 6 ข้อที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงใต้ตา
เรามาดูกันว่า ก่อนที่แพทย์จะตัดสินใจแนะนำให้ผ่าตัดเก็บถุงใต้ตาเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ไม่มีภาวะตาแหก ตาปลิ้น แพทย์จะต้องตรวจอะไรกันบ้าง
1.ภาวะภูมิแพ้ของเยื่อบุตาด้านใน (Conjunctivitis)
ถ้าเกิดใครมีภาวะภูมิแพ้ของเยื่อบุตาด้านใน แล้วไม่แก้ไข หรือว่ามีภาวะภูมิแพ้ที่ค่อนข้างรุนแรง แพทย์จะไม่สามารถเลือกการผ่าตัดจากแผลด้านในได้ แต่จะต้องเลี่ยงมาใช้การผ่าตัดผ่านแผลด้านนอกแทน หรืออาจจะต้องรักษาภาวะภูมิแพ้ให้สามารถควบคุมอาการให้ดีขึ้นก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาผ่าตัดผ่านแผลด้านในภายหลัง
2.คุณภาพของหนังบริเวณใต้ตา (Eyelid Skin Quality)
ในกรณีที่ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีอายุค่อนข้างมาก สิ่งที่แพทย์จะตรวจเจอบ่อย ๆ ก็คือ ภาวะผิวแห้ง โดยเฉพาะหนังตาที่เป็นผิวหนังที่บางที่สุดในร่างกาย ซึ่งการที่ผิวหนังตาแห้ง แล้วแพทย์ผ่าตัดผ่านแผลด้านนอก จะทำให้แผลผ่าตัดหายช้า และที่สำคัญคือ ผิวแห้งจะทำให้มีอาการคัน และเมื่อเราขยี้ตาก็จะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้อีก อย่างเช่นรอยคล้ำรอบดวงตา
3.ตำแหน่งของคิ้วกับหนังตาบน (Eyebrow Position)
การผ่าตัดเก็บถุงใต้ตา หรือตัดหนังใต้ตาจะต้องให้ความสำคัญกับตำแหน่งคิ้วด้วย เพราะหากคนไข้มีภาวะคิ้วตก หรือหนังตาบนตก แล้วแพทย์เลือกเก็บถุงใต้ตาให้เรียบเพียงอย่างเดียว ก็จะทำให้รูปทรงของตาไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หรือกลมกลืนกัน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจนั่นเอง
4.ความหย่อนของผิวหนังบริเวณขมับ (Temporal Skin Excess)
สาเหตุที่ต้องตรวจดูความหย่อนของผิวหนังบริเวณขมับด้วย เพราะถ้าหากว่าคนไข้มีความหย่อนตรงขมับค่อนข้างเยอะ เวลาที่เราผ่าตัดถุงใต้ตาก็จะเลือกหนังที่หย่อนตรงขมับลงมากองบริเวณหางตา ผลที่ตามมาก็คือ แม้ว่าผิวหนังบริเวณใต้ตาจะดูเรียบก็จริง แต่ตรงด้านข้างตายังดูย่นจากผิวหนังบริเวณขมับอยู่ ก็อาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว แพทย์จะแนะนำให้ดึงหน้า หรือดึงขมับก่อน แล้วค่อยมาเก็บถุงใต้ตาและเก็บหนังตาล่างทีหลัง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่พอใจมากที่สุด
สำหรับ 2 ประเด็นสุดท้ายที่หมอจะต้องตรวจอย่างละเอียดมากๆเลย เพราะว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่จะเลือกเทคนิคการผ่าตัดนะครับ
5.ความหย่อนยานของขอบหนังตาล่างนะครับ (Horizontal Lower Lid Laxity)
เป็นสิ่งสำคัญที่แพทย์จะต้องตรวจดูอย่างละเอียด เพราะส่งผลต่อการเลือกเทคนิคการผ่าตัด โดยถ้าหากแพทย์ประเมินแล้วว่า ขอบหนังตาล่างหย่อนมาก ๆ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตาแหก ตาปลิ้นหลังผ่าตัดเก็บถุงใต้ตาด้วยเทคนิคปกติค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องการตัดถุง หรือหนังใต้ตาออกเยอะ ๆ
ในเคสที่มีความเสี่ยงแบบนี้ แพทย์จะพิจารณาให้ผ่าตัดขึงใต้ตาเพิ่มด้วย เพื่อให้หนังตาล่างตึง โดยจะเป็นการผ่าตัดขึงขอบหนังตาล่างกับกระดูกขอบตาด้านหน้าเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างตาแหก ตาปลิ้น เพราะถ้าหากไม่ทำการผ่าตัดขึงตาล่างจะทำให้เกิดตาแหก ตาปลิ้นได้อย่างแน่นอน
6.ความโหนกนูนของกระดูกขอบตาล่างหรือโหนกแก้ม(Midface Vector)
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญมาก ๆ ที่แพทย์จะต้องตรวจดูก็คือ ความโหนกนูนของกระดูกขอบตาล่าง หรือโหนกแก้ม เพราะถ้าใครที่มีขอบตาล่าง หรือกระดูกตรงใต้ตาแบนราบ จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดตาแหก ตาปลิ้น หลังผ่าตัดได้เช่นกัน
นอกจากนี้ การเก็บถุงหรือหนังใต้ตาอย่างเดียวในกลุ่มนี้ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ แค่ดวงตาดูตึง แต่ยังดูใต้ตาโบ๋ลึกอยู่ ซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ
สิ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมก็คือ การฉีดสารเติมเต็มบริเวณร่องใต้ตา หรือว่าแก้มบริเวณขอบตาล่าง เพื่อที่เวลาผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออกแล้วจะมีความเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันระหว่างตาล่างกับแก้ม ไม่มีรอยต่อ ช่วยให้ดูอ่อนวัย ซึ่งโดยปกติแล้ว สารเติมเต็มที่นิยมใช้ฉีดจะมีอยู่ 2 แบบก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) และการเติมไขมันตัวเอง (Fat Graft) หรือที่นิยมเรียกว่า “ฉีดไขมันหน้าเด็ก”
สรุปเรื่องการทำศัลยกรรมถุงใต้ตา
จะเห็นได้ว่า การทำศัลยกรรมถุงบริเวณใต้ตามีสิ่งที่ต้องควรระมัดระวังหลายอย่าง และต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจทำ เพราะถ้าหากเลือกวิธีรักษาถุงใต้ตาที่ไม่เหมาะกับตนเอง แทนที่จะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ก็อาจทำให้ต้องเจอกับภาวะแทรกซ้อนอย่างตาแหก ตาปลิ้น ซึ่งจะต้องมาทำการรักษาในภายหลังอีก ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงที่อยู่ใต้ตานี้ ก็ควรที่จะศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน หรือเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่ ดร.กร เอสเทติค คลินิก ได้เช่นกัน
มีคำถามเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมถุงใต้ตาอยู่ใช่ไหม?
สำหรับใครที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมหนังที่อยู่ใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดถุงใต้ตา หรือเก็บหนังตาล่าง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาด้านความงามของดร.กร เอสเทติค คลินิก ได้ที่ไลน์ @dr.gornaesthetique มีแพทย์ช่วยประเมินออนไลน์ได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย! หรือจะดูรีวิวการแก้ไขตาล่างและถุงใต้ตาด้วยเทคนิคหมอกรได้ที่นี่ เราพร้อมให้บริการทั้ง 3 สาขา ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร น่าน หรือพิษณุโลก ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยตรงที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี