ในปัจจุบันการปรับรูปทรงปากเป็นทรงกระจับ ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย แต่หลายคนยังไม่ทราบว่าการปรับรูปทรงปาก ไม่ได้มีแค่การผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ยังมีเทคนิคการฉีดสารเติมเต็ม เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เรามาดูความแตกต่างในแต่ละวิธีกันนะครับ
1.การปรับรูปทรงริมฝีปากโดยการฉีดสารเติมเต็ม (Lip Augmentation)
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปทรงให้เป็นติ่งกระจับตรงกลางปากและเพิ่มความอวบอิ่มของริมฝีปากไปในตัว จึงนิยมใช้ในเคสที่ริมฝีปากไม่หนา หรือริมฝีปากบาง หรือในเคสที่ไม่ต้องการผ่าตัด โดยสารเติมเต็มที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ ฟิลเลอร์ หรือ ไขมันตนเอง
การฉีดฟิลเลอร์
ข้อดี
- ง่าย สะดวก สวยด่วนกว่า
- ย่อยสลายได้ (ถ้าใช้ของดี ผ่าน อย. และ แหล่งผลิตได้มาตรฐาน)
- ไม่ต้องพักฟื้น
ข้อเสีย
- ราคาแพง (ถ้าใช้ของที่มีคุณภาพ)
- เป็นสารสังเคราะห์ไม่ใช่ของเราเอง
การเติมไขมัน
ข้อดี
- เป็นสารธรมชาติของเราเอง จึงไม่ก่อให้เกิดการแพ้
- สามารถเติมทั่วหน้าได้โดยไร้ความกังวล
- ถ้าเกิดติด (Take Graft) จะอยู่ตลอดชีวิต
- ราคาสบายกระเป๋า
ข้อเสีย
- ผลของการฉีดไขมัน การอยู่รอดขึ้นอยู่กับแต่ละ. บุคคลและ เทคนิคของแพทย์
- อาจมีอาการบวมช้ำประมาน 7-10 วัน
2.การปรับรูปทรงริมฝีปากโดยการผ่าตัด(Lip Reshaping Surgery)
สำหรับวิธีเหมาะสำหรับเคสที่ต้องการปรับรูปทรงริมฝีปากอย่างถาวร หรือในเคสที่ริมฝีปากผิดรูปจากอุบัติเหตุหรือเป็นแต่กำเนิด โดยเทคนิคการผ่าตัดนั้น จะแบ่งคนไข้ออกเป็น 2 กลุ่ม
2.1.เคสที่ริมฝีปากหนา ผ่าตัดเป็นรูปทรงกระจับได้เลย (Thick Lip)
ริมฝีปากลักษณะนี้จะใช้การผ่าตัดเนื้อริมฝีปากออกเป็นรูปทรงกระจับ แล้วเย็บแผลตามปกติ
2.2 เคสที่ริมฝีปากบาง(Thin Lip)
หมอจะเลือกใช้การผ่าตัดเนื้อริมฝีปากออกให้น้อยที่สุด และใช้เทคนิคย้ายชั้นไขมันริมฝีปาก หรือกล้ามเนื้อริมฝีปากจากด้านข้างไปเติมตรงกลางริมฝีปาก(Tranpositional Lip flap) เพื่อสร้างติ่งกระจับ แต่ในกรณีที่ริมฝีปากบางเกินไป อาจต้องเลือกใช้วิธีเติมสารเติมเต็มแบบต่างๆแทนครับ