การเสริมจมูกโอเพ่น
แก้ไขโครงสร้างด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง ดียังไง ?

ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่า ในประเทศไทยตอนนี้การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงตนเองในปัจจุบันเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเทคนิคนี้เข้ามาเติมเต็มการแก้ไขปัญหา หรือจุดอ่อนในจุดที่การเสริมจมูกเทคนิคโอเพ่นที่ใช้กระดูกอ่อนผนังกั้นจมูกและกระดูกอ่อนใบหูทำไม่ได้ เนื่องด้วยปัญหาโครงสร้างจมูกของคนไทย ส่วนใหญ่มักมาจากจมูกที่สั้น และปลายจมูกตก แต่กระดูกอ่อนผนังกั้นจมูก (Septum) มีขนาดเล็ก สั้น และไม่แข็งแรง เมื่อนำมาเสริมจมูกจึงมักนำมาใช้ในการยืดปลายจมูกให้โด่งและยาวขึ้นได้ไม่มากนัก ในบางเคสผลลัพธ์อาจไม่แตกต่างจากการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน ทำให้หลายคนที่เลือกเสริมจมูกเทคนิคโอเพ่นแล้ว แต่ต้องมาผิดหวังกับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะวัสดุที่เลือกใช้ยังไม่สามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาจริงของโครงสร้างจมูกได้

ในเคสที่มีปัญหาแบบนี้ การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงมาเป็นวัสดุในการผ่าตัดเสริมจมูกจึงเป็นทางเลือกที่เห็น ผลลัพธ์ได้ดีกว่า แก้ไขปัญหาดังกล่าวได้มากกว่า เนื่องจากมีความยาว ความแข็งแรง และปริมาณที่มากพอ จึงสามารถยืดและยกปลายจมูกได้มากกว่าการใช้กระดูกอ่อนผนังกั้นจมูก (Septum) นอกจากนี้ยังใช้เสริมสันจมูกแทนซิลิโคน หรือ Gortex ที่นิยมให้ในเสริมจมูกเทคนิคโอเพ่นทั่ว ๆ ไปได้อีกด้วย

การเสริมจมูกโอเพ่นโดยใช้กระดูกซี่โครง
จะมีหลักการคล้ายการเสริมจมูกแบบโอเพ่นยืดปลายจมูกด้วยกระดูกอ่อนกั้นกลางจมูก
อย่างไรก็ตามในด้านเทคนิคการผ่าตัดและผลลัพธ์จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก

การเสริมจมูก แบบโอเพ่น
โดยใช้กระดูกซี่โครงจะมีหลักการคล้ายการเสริมจมูกแบบโอเพ่นยืดปลายจมูกด้วยกระดูกอ่อนกั้นกลางจมูก
อย่างไรก็ตามในด้านเทคนิคการผ่าตัดและผลลัพธ์จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก

การเสริมจมูกโอเพ่น
แก้ไขโครงสร้างด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง ดียังไง ?

รายละเอียด
เทคนิคโอเพ่นใช้กระดูกอ่อน Septum
เทคนิคโอเพ่นใช้กระดูกอ่อนซี่โครง
การเปิดแผลผ่าตัด
การเปิดแผลแบบโอเพ่น หรือ Semi-open
เปิดแผนแบบโอเพ่นเป็นส่วนใหญ่
กระดูกอ่อนที่ใช้
กระดูกอ่อนผนังกั้นจมูก Septum
กระดูกอ่อนซี่โครง
ความยาวของกระดูกอ่อน
ยาวไม่มาก ประมาณ 1.5-2 ซม. ขึ้นอยู่กับความยาวของจมูกเดิมของคนไข้
มีความยาวเพียงพอ สำหรับการเสริมปลายและสันจมูก ประมาณ 8-9 ซม.
ความแข็งแรงของกระดูก
ปานกลาง
แข็งแรงมาก
ความเป็นธรรมชาติ
ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวัสดุที่ใช้เสริมจมูกร่วมกับผนังกั้นจมูก
ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้
การเสริมสันจมูก
ใช้ซิลิโคนรูปเรือ หรือ Gorte-Tex เสริมสันจมูกในรายที่สันจมูกโด่งอยู่แล้ว อาจใช้เนื้อเยื่อไขมันเติมสันจมูกได้
สามารถเสริมสันจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง จมูกไร้ของปลอม 100%
แก้จมูกสั้น
แก้จมูกสั้นได้ไม่ค่อยดี เนื่องจากกระดูก Septum เดิมไม่ยาวมาก บางครั้งต้องใช้วัสดุเสริม เช่น TnR-Mesh หรือ Medpore ในการเสริมความแข็งแรง
แก้จมูกสั้นได้ดี เนื่องจากมีกระดูกอ่อนที่ยาวมากพอ และแข็งแรง
แก้จมูกหดรั้ง เห็นรูจมูกชัด
แก้จมูกหดรั้งไม่ค่อยเห็นผล เนื่องจากกระดูกอ่อนมีความแข็งแรงและปริมาณไม่มากพอ
ปัจจุบัน ถือเป็นกระดูกอ่อนที่แข็งแรงมากพอ และเป็นเทคนิคมาตรฐานในการแก้ไขปัญหาจมูกหดรั้ง และรูจมูกโชว์
แก้จมูกผิดรูป
สามารถทำได้ ถ้าผิดรูปไม่มาก
สามารถแก้ปัญหาจมูกผิดรูปได้ดี
แก้จมูกฉีดสารเหลว
ไม่แนะนำ เนื่องจากปริมาณกระดูกอ่อนไม่พอ โดยเฉพาะบริเวณสันจมูก เคสที่แก้ปัญหาสารเหลาว ควรใช้เนื้อเยื่อของร่างกายในการเสริมจมูก
ถือเป็นวัสดุการเสริมจมูกที่เป็นมาตรฐานระดับสากล ในการเสริมจมูกเคสที่มีปัญหาฉีดสารเหลวมา
แก้จมูกติดเชื้อ
สามารถใช้เสริมเพื่อคงความแข็งแรงหลังจมูกติดเชื้อได้ แต่อาจเปลี่ยนแปลงรูปทรงได้ไม่มาก
กระดูกอ่อนซี่โครง มีความแข็งแรง คงทนต่อการติดเชื้อได้
แก้ปัญหาการหายใจ
แก้ปัญหาเรื่องการหายใจได้
สามารถแก้ปัญหาการหายใจได้
การพักฟื้น
ระยะพักฟื้นสั้นกว่า
พักฟื้นนานกว่า
ความยากของการผ่าตัด
ความซับซ้อนในการผ่าตัดน้อยกว่า
ความซับซ้อนในการผ่าตัดมากกว่า
เทคนิคการระงับปวด
สามารถใช้ได้ทั้งการดมยาสลบ และยาชาเฉพาะที่
ดมยาสลบ / ยาชาเฉพาะที่ใช้ในกรณีใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายถูกกว่า 2-3 เท่า
ค่าใช้จ่ายสูงกว่า

เราควรเสริมจมูกแบบโอเพ่น เมื่อไร ?

เมื่อไร เราควรเสริมจมูก แบบ Open Nose Reconstruction

เจาะลึกเทคนิคศัลยกรรมจมูกโด่งสวย มีวิธีไหนบ้าง ?

การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง เหมาะสมกับใครบ้าง ?

เสริมจมูกกระดูกอ่อนซี่โครง
เหมาะสมกับใคร ?

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

กระดูกอ่อนซี่โครง
สำหรับคนที่จมูกปลายหนา

สำหรับเคสที่ปลายจมูกใหญ่ (Bulbous Tip or Big round tip) เนื้อปลายจมูกหนา อันนี้ก็เป็นเคสที่พบบ่อยมากในคนไทย ซึ่งขนาดปลายจมูกที่ดูใหญ่ในคนไทยนั้น มักมีสาเหตุมาจากชั้นไขมันบริเวณปลายจมูกที่หนา แตกต่างจากคนไข้ในโซนยุโรปที่สาเหตุส่วนใหญ่ของจมูกนั้นมาจากขนาดกระดูกอ่อนปีกนกปลายจมูกที่ใหญ่และอ้า แต่ชั้นผิวหนังนั้นบางกว่าคนไทย ทำให้การแก้ไขปัญหาจมูกใหญ่ ทำได้โดยการผ่าตัดลดขนาดและลดขนาดกระดูกอ่อนปีกนกปลายจมูกก็เพียงพอแล้ว ที่จะลดขนาดปลายจมูกให้ดูเล็กลง แต่ในคนไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้การผ่าตัดแบบที่กล่าวไปได้ หมอจำเป็นต้องใช้การยกปลายจมูก เสริมความแข็งแรงกระดูกอ่อนปีกนก ร่วมกับการ ผ่าตัดนำชั้นไขมันที่หนาออกบางส่วน

แต่เนื่องด้วยความแข็งแรงเดิมกระดูกอ่อนปลายจมูกนั้นมีไม่มากพอ และเคสส่วนใหญ่กระดูกอ่อนผนังกั้นจมูกมีน้อยและไม่แข็งแรง จึงทำให้การเสริมจมูกโอเพ่นยืดผนังกั้นจมูกแบบเดิม ๆ จะได้รูปทรงไม่เป็นที่พอใจของคนไข้มากนัก ปัจจุบันจึงมีการนำกระดูกอ่อนซี่โครงมาใช้ในการเสริมจมูก เพื่อแก้ไขปัญหาปลายจมูกใหญ่ทดแทนกระดูกผนังกั้นจมูก (septum) เนื่องจากมีปริมาณที่มากกว่า และแข็งแรงกว่ากระดูกผนังกั้นจมูก รวมถึงกระดูกอ่อนใบหู (Ear cartilage) นั้นเองครับ

อ่านเพิ่มเติม ปลายจมูกหมู/ปลายจมูกใหญ่เหมือนลูกชมพู่ ทำไมเสริมด้วยซิลิโคนแล้วยังไม่เรียว

กระดูกอ่อนซี่โครง
สำหรับคนจมูกปลายจมูกหมู

รีวิวเสริมจมูกเทคนิค Open Rib Rhinoplasty

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

Case Review : เสริมจมูกเทคนิค Open Rib Rhinoplasty

  • กระดูกซี่โครงตัวเอง
  • ตัดปีกจมูก 3 มิติ
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

Case Review : เสริมจมูกเทคนิค Open Rib Rhinoplasty

  • กระดูกซี่โครงตัวเอง
  • ตัดปีกจมูก 3 มิติ
  • แก้ไขจมูกหนา เนื้อเยอะทรงชมพู่
  • ฐาน/ปีกจมูกกว้าง

กระดูกอ่อนซี่โครงสำหรับเคสแก้จมูกผิดรูป
(For Deformitied Nose)

กระดูกอ่อนซี่โครง
สำหรับเคสแก้จมูกผิดรูป
(For Deformitied Nose)

คนไข้อีกหนึ่งกลุ่มที่เหมาะอย่างมากที่จะเลือกการเสริมจมูกเทคนิคแก้ไขโครงสร้างโดยใช้กระดูกอ่อนซี่โครง เพราะจะสามารถแก้ไขโครงสร้างจมูกและแก้ไขปัญหาได้มากขึ้น คือ เคสที่เคยเสริมจมูกมาแล้ว โดยเฉพาะเคสแก้จมูกที่ผ่าตัดมาหลายรอบ หรือเคยติดเชื้อ หรือซิลิโคนทะลุ หรือเคสอุบัติเหตุ(Posttraumatic nose) จนโครงสร้างจมูกถูกทำลายจนผิดรูป(Deformitied Nose) นอกจากนี้เคสคนไข้ปากแหว่งเพดานโหว่ เนื่องจากเคสเหล่านี้จะมีการผิดรูปของโครงสร้างจมูกหลายตำแหน่ง(Cleft Nose) ทั้งแนวกลางและแนวข้างของจมูก ทำให้ต้องแก้ไข้โครงสร้างจมูกหลายจุดพร้อมกัน จึงจำเป็นต้องอาศัยกระดูกอ่อนที่มีปริมาณมาก และแข็งแรงเพียงพอ

นอกจากนี้ในคนไข้ที่ต้องการแก้ไขจมูกผิดรูปหลายเคส หมอมักจะตรวจพบภาวะจมูกตัน การหายใจผ่านโพรงจมูกมีความผิดปกติ หมอจึงจำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไขการทำงานของโพรงจมูกให้กลับมาใกล้เคียงภาวะปกติร่วมกับการแก้ไขรูปทรงจมูกไปพร้อม ๆ กัน (Functional Rhinoplasty)

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

กระดูกอ่อนซี่โครง
สำหรับแก้จมูกหดรั่ง รูจมูกเห็นชัด (For Contracted Nose)

เคสที่เคยเสริมจมูกมาแล้ว โดยเฉพาะเคสแก้จมูกที่ผ่าตัดมาหลายรอบ จนเกิดผังพืดหดรั้งบริเวณจมูก (Contracted Nose) จนจมูกดูสั้นและเชิด เห็นรูจมูกชัดเจน ถือเป็นเคสที่เหมาะอย่างมากที่จะเลือกการเสริมจมูกเทคนิคแก้ไขโครงสร้างโดยใช้กระดูกอ่อนซี่โครง เพราะจะสามารถแก้ไขโครงสร้างจมูกและแก้ไขปัญหาได้มากขึ้น

เนื่องจากเคสจมูกหดรั้ง จะยืดจมูกได้ค่อนข้างยากจากแผลเป็นภายในเนื้อจมูก(Fibrotic scar) ทำให้ต้องอาศัยกระดูกอ่อนซี่โครงที่มีความแข็งแรงและปริมาณมากพอ ที่จะแก้ไข้โครงสร้างจมูกหลายจุดพร้อมกัน

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

กระดูกอ่อนซี่โครง
สำหรับเคสจมูกสั้น รูจมูกเห็นชัด (For Shorted Nose)

เป็นปัญหาที่พบบ่อยโดยเฉพาะชาวเอเชีย (Congenital Short Nose) เนื่องจากมีโครงสร้างกระดูก (Nasal Bone) ที่สั้น (แถมยังกว้างอีกต่างหาก ยิ่งดูสั้นลงไปอีก) กระดูกอ่อนกั้นกลางจมูก (Cartilaginous Septum) ก็สั้นด้วย นอกจากพันธุกรรมและเชื้อชาติแล้วแล้ว จมูกสั้นอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้แก่

  1. อุบัติเหตุบริเวณจมูกมาก่อน (Nasal Trauma)
  2. การผ่าตัดที่ผ่านมา (Ablative Surgery) โดยเฉพาะการตะไบฮัมพ์ (Excessive Humpectomy) ที่ออกเยอะจนเกินไปหรือเคส ที่ผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้งจนเกิดผังผืดหดรัดให้จมูกดูสั้น (Fibrotic Scar Contracture)
  3. กระดูกอ่อนกั้นกลางจมูก (Septum) ถูกทำลายจาก Drug Abuse เช่น การพ่นซูโดอีเฟดรีน (Pseudoephedrine Nasal Spray) และการใช้สารโคเคน (Cocaine) เป็นเวลานาน เป็นต้น

และเนื่องจากเคสจมูกสั้น มักจะมีกระดูกอ่อนกั้นกลางจมูก(septum) สั้นด้วย ทำให้หลายครั้ง ที่ผ่าตัดเสริมจมูกโอเพ่นยืดผนังกั้นจมูกด้วยกระดูกอ่อนseptum ได้ผลไม่ดีนัก ไม่ค่อยแตกต่างจากการเสริมเทคนิคซิลิโคน ซึ่งการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงมายืดปลายจมูก จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยเฉพาะในเคสที่จมูกสั้น และผิวหนังปลายจมูกหนา

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

ปัญหาจมูกสั้น
เราจะแก้ไขปัญหาจมูกสั้นอย่างไร

รีวิวเสริมจมูก
เทคนิคกระดูกอ่อนซี่โครง สำหรับจมูกสั้น,จมูกหมู

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

กระดูกอ่อนซี่โครง
สำหรับแก้จมูกติดเชื้อจมูกซิลิโคนทะลุ (Infected Nose)

เคสที่เสริมจมูกซิลิโคนมาแล้ว มีปัญหาทะลุ จนติดเชื้อ ทำให้โครงสร้างจมูกเดิมเสียหาย และอาจรุนแรงจนทำให้เนื้อเยื้อผิวหนังที่คลุมจมูกมีการถูกทำลายร่วมด้วย ถือเป็นเคสที่จำเป็นต้องเลือกการเสริมจมูกเทคนิคแก้ไขโครงสร้างโดยใช้เนื้อเยื่อตนเอง ซึ่งกระดูกอ่อนซี่โครงจะมีความเหมาะสม เพราะมีความแข็งแรง และทนทานต่อการติดเชื้อ ช่วยให้สามารถแก้ไขโครงสร้างจมูกที่เสียหาย และใช้ร่วมกับการโยกเนื้อเยื่อผิวหนังข้างเคียงมาซ่อมแซมผิวหนังส่วนที่เสียหายได้

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

กระดูกอ่อนซี่โครง
สำหรับเคสแก้จมูกปลายบาง สันจมูกบางจากซิลิโคน

ปัญหาการเสริมจมูกแล้วปลายจมูกบาง สันจมูกบาง เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในปัจจุบัน มักเกิดจากการที่เสริมจมูกด้วยซิลิโคน (Silicone) ที่มีความตึงที่บริเวณปลายจมูกมากเกินไป หรือใส่บริเวณสันจมูกตึงเกินไป อาจเสริมมาแล้วระยะเวลาเป็นหลักเดือนหรือหลักปี ความบางจะมากน้อยขึ้นอยู่กับความตึงและเนื้อจมูกเดิม

สำหรับการแก้ไขนั้นต้องให้แพทย์ประเมินว่าปลายจมูกนั้นมีความบางมากน้อยเพียงใด ถ้าเนื้อจมูกบางไม่มาก สามารถแก้ไขโดยการลดขนาดหรือความยาวของซิลิโคนลง แต่ถ้าเนื้อจมูกมีความบางมาก ไม่ควรแก้ด้วยเทคนิคการเปลี่ยนซิลิโคนเพียงอย่างเดียว การแก้ไขที่ไม่ควรใช้ซิลิโคนเสริมที่จมูก ดังนั้นการแก้ไขจึงแบ่งได้ 2 วิธีหลัก ๆ คือ

1.ถอดพักแล้วรองไขมันที่ปลายจมูก หรือสันจมูก

เหมาะสำหรับเคสที่ไม่พร้อมเสริมจมูกใหม่ อาจเลือกวิธีเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวของบริเวณจมูกที่บาง แล้วเสริมจมูกใหม่อีกครั้ง ประมาณ 9-12 เดือนถัดมา

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

2. แก้ไขโครงสร้างจมูก และฟื้นฟูผิวหนังที่บางไปพร้อมกัน

เหมาะสำหรับเคสที่มีปัญหาผิวจมูกบาง แต่ไม่อยากถอดพักจมูก ยังคงต้องการรักษารูปทรงของจมูก พร้อมกับแก้ไขปัญหาปลายจมูกบาง สันจมูกไปพร้อม การแก้ไขจมูกในรูปแบบนี้ จำเป็นต้องเลี่ยงการใช้ซิลิโคน หรือวัสดุนอกร่างกายดังเดิม ซึ่งกระดูกอ่อนซี่โครง จะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดี เนื่องจากมีปริมาณกระดูกอ่อนมาก สามารถใช้เสริมได้ทั้งสันจมูก และปลายจมูก นอกจากนี้ยังสามารถใช้เยื่อหุ้มกระดูกอ่อนซี่โครงมาฟื้นฟูผิวหนังที่บางได้

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

กระดูกอ่อนซี่โครง
เคสสันจมูกไม่โด่ง แต่อยากเสริมจมูกแบบไม่ใช่ซิลิโคน ?
For No Silicone Nose 100%

สำหรับเคสที่อยากเสริมจมูกทั้งปลายจมูก และสันจมูกที่ค่อนข้างเยอะ เนื่องจากจมูกเดิมปลายจมูกสั้น สันจมูกแฟบ แต่ไม่อยากใช้ซิลิโคน หรือกังวลเรื่องความเสี่ยงของวัสดุนอกร่างกาย กระดูกอ่อนซี่โครงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากมีปริมาณมากพอที่จะใช้ในการเสริมทั้งบริเวณปลายจมูก และสันจมูก แตกต่างจากการเสริมจมูกโอเพ่นโดยใช้กระดูกอ่อนผนังกั้นจมูก ซึ่งจะใช้เสริมได้เฉพาะบริเวณปลายจมูก ในบริเวณสันจมูกอาจต้องใช้วัสดุนอกร่างกายมาเสริมแทน เช่น ซิลิโคน Gore-Tex เป็นต้น

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

กระดูกอ่อนซี่โครง
เคสแก้จมูกมีปัญหาจาก
ฉีดฟิลเลอร์/สารเหลวต่าง ๆ

เคสที่เคยฉีดสารเหลว หรือฟิลเลอร์บริเวณสันจมูก มักมีปัญหาสารเหลวที่ฉีดไหลลงด้านข้าง และเป็นก้อน จนจมูกดูบวมใหญ่ ในบางเคสอาจพบเส้นเลือดแดงเล็กๆขึ้นบริเวณจมูก เนื่องจากกระบวนการอักเสบของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารเหลวที่ฉีด ปัญหาจากสารเหลวนี้ แก้ไขค่อนข้างยาก เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่อยู่ในชั้นผิวของจมูก ในกรณีสารเหลว การแก้ไขจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดนำก้อนสารเหลวออก ถ้าในกรณีที่เป็นฟิลเลอร์Hyaruron อาจใช้การฉีดสลาย ร่วมกับการผ่าตัดออก ซึ่งการผ่าตัดนำสารเหลวออกนี้ โอกาสที่จะผ่าจนนำออกได้หมด 100% นั้นค่อนข้างยากมากๆ และมักจะมีปัญหาเนื้อจมูกบางลง หลังผ่าตัดออก เนื่องจากต้องมีการตัดส่วนเนื้อจมูกดีรอบๆก้อนสารเหลวออกบางส่วนร่วมด้วย ทำให้การเสริมจมูกหลังเลาะสารเหลวออก มีโอกาสที่ผิวหนังจะหนาบางไม่เท่ากัน และโอกาสติดเชื้อค่อนข้างสูง จึงไม่ควรใช้วัสดุนอกร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นซิลิโคน หรือ Gore-Tex มาเสริมจมูก ซึ่งการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงในการเสริมจมูก จะมีความเหมาะสมในเคสแบบนี้มาก เนื่องจาก มีความคงทนต่อการติ้ดเชื้อ และมีการใช้เยื่อหุ้มกระดูกอ่อนซี่โครงมาเสริมและฟู้นฟูสภาพผิวจมูกที่บางลงหลังจากเลาะสารเหลวออก

7 เหตุผลที่หมอหลีกเลี่ยง
การใช้วัสดุนอกร่างกายเพื่อเสริมจมูก

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์ได้มีการวิจัยและพัฒนาวัสดุทางการแพทย์หลายๆอย่างเพื่อช่วยในการเสริมจมูก ทำให้การผ่าตัดเสริมจมูกทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาในระยะยาวของวัสดุนอกร่างกาย ยังคงมีอยู่ และวัสดุบางประเภท ก็ยังมีการใช้มาไม่นาน ทำให้ผลลัพธ์ในระยะยาวยังไม่เป็นที่ชัดเจน นอกจากนี้ในปัญหาจมูกหลายๆกรณี เช่น ติดเชื้อ จมูกปลายบาง จมูกที่มีปัญหาสารเหลว ปัญหาเหล่านี้จะไม่เหมาะสม ที่จะใช้วัสดุนอกร่างกายในการเสริมจมูก ทำให้หมอหลายท่านยังคงเลือกที่จะเสริมจมูกด้วยเนื้อเยื่อตนเอง(Autologous tissue)

  1. การใช้ซิลิโคน(Silicone Implant ) ยังคงมีปัญหาเรื่องเบี้ยวเอียง ซิลิโคนลอย และเห็นขอบชัดเจน แม้ว่าจะใช้เทคนิคการวางใต้เยื่อหุ้มกระดูกก็ตาม เนื่องจากร่างกายมองว่าคือสิ่งแปลกแปลม จะสร้างผังพืดมาหุ้มล้อมรอบซิลิโคน ส่งผลให้หลังผ่าตัด 6 เดือนขึ้นไป หลายคนมีปัญหาซิลิโคนลอย เห็นขอบซิลิโคนชัด หรือเบี้ยวเอียงภายหลัง เนื่องจากการหดตัวของพังผืดรอบๆซิลิโคน นอกจากนี้หลายคนมีปัญหาเรื่องจมูกดูสั้นขึ้น ปลายจมูกดูเชิด รูจมูกเห็นชัด เป็นเพราะว่าการหดรั้งของผังพืดที่จมูก
  2. ซิลิโคนทะลุได้ แม้ว่าจะใส่ซิลิโคนแค่สันจมูก ในเคสที่เสริมโอเพ่นมา ซึ่งมักจะทะลุภายในโพรงจมูก ยิ่งในปัจจุบันมีการเสริมซิลิโคนแบบตัวแอล(L shape implant)ทำให้อัตราการทะลุมีมากขึ้น หลายคนเลี่ยงไปเสริมจมูกแบบรองปลายกระดูกอ่อนใบหู แต่ก็ยังพบหัวและขาซิลิโคนทะลุ ในรูจมูก จนรูจมูกผิดรูป ในบางรายไม่ทะลุ แต่กลับเห็นขอบกระดูกอ่อนที่นำมารองปลายซิลิโคนชัด เนื่องจากความตึงที่ปลายจมูกมีมาก ทำให้ผิวหนังที่ปลายจมูกบางลง
  3. เลี่ยงการใช้ Silicone เลือกใช้ Gore-Tex เสริมจมูกแทน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาระยะยาวจากซิลิโคน ก็สามารถพบปัญหาจาก Gore-Tex ได้ โดยเฉพาะภาวะติดเชื้อ ที่จะตรวจพบได้ยากกว่า เนื่องจากโครงสร้าง Gore-Tex มีลักษณะเป็นรูพรุน ส่งผลให้กว่าจะตรวจพบ การติดเชื้อลุกลามไปมากแล้ว
  4. การใช้ Implant เสริมจมูกเป็นระยะเวลานาน จะให้โครงสร้างกระดูกอ่อนและแข็งของจมูก ถูกกดเป็นเวลานานจนผิดรูป และไม่แข็งแรง
  5. การยืดโครงสร้างปลายจมูกด้วยวัสดุสังเคราะห์ เช่น Medpore TnR-Mesh หรือ Osteopore หลายคนเข้าใจว่าไม่สามารถทะลุได้ แต่ในความเป็นจริง วัสดุสังเคราะห์เหล่านี้ยังทะลุได้ โดยเฉพาะในโพรงจมูก และความเสี่ยงของการติดเชื้อ มีมากกว่าการใช้เนื้อเยื่อตนเองในการเสริม นอกจากนี้ในระยะยาว ความคงทนของวัสดุสังเคราะห์ในการยืดและยกปลายจมูกยังไม่เป็นที่แน่ชัด
  6. การเสริมจมูกด้วยวัสดุสังเคราะห์ ในระยะยาวแล้ว จะต้องกลับมาผ่าตัดแก้ไขเกือบทุกราย เนื่องจากปัญหาของวัสดุสังเคราะห์ ซึ่งต่างการใช้เนื้อเยื่อตนเอง ที่มีการผ่าตัดแก้ไขซ้ำในอัตราที่ต่ำกว่ามาก และการผ่าตัดแก้ไข มักผ่าตัดตกแต่งเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย
  7. เคสจมูกติดเชื้อ หรือมีการเลาะสารเหลว ควรหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุสังเคราะห์ เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อหลังผ่าตัด ซึ่งแตกต่างจากการเสริมจมูกด้วยเนื้อเยื่อตนเอง ซึ่งมีความคงทนต่อการติดเชื้อที่ดี โดยเฉพาะกระดูกอ่อนซี่โครง
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

กระดูกอ่อนซี่โครงของ
ตัวเอง VS ซี่โครงบริจาค

คนไข้หลายคนเลยนะครับที่ยังมีคำถามมากมาย เรื่องการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงในการทำศัลยกรรมจมูก จนไม่รู้ว่าเคสแบบเรานั้นควรเลือกใช้แบบไหนระหว่าง กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเอง หรือ กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค หมอเลยมาไขข้อข้องใจตอบชัดให้ทุกประเด็นแบบเข้าใจง่ายๆ สำหรับไว้ให้ทุกคนใส่เป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ เมื่อต้องทำศัลยกรรมกันนะครับ

เสริมจมูกใหม่และแก้จมูก
โดยใช้กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเอง
(Autologous Costal Cartilage | Rib Cartilage Rhinoplasty)

การนำกระดูกซี่โครงของคนไข้มาใช้ในการผ่าตัด โดยปกติแพทย์จะเลือกใช้กระดูกอ่อนซี่โครง (Rib) ซี่ที่ 6,7 หรือ 8 บริเวณข้างขวาของคนไข้ ซึ่งจะผ่าตัดนำออกมาในปริมาณตามดุลยพินิจของแพทย์ และก่อนตัดสินใจใช้กระดูกอ่อนซี่โครงนั้น คนไข้จำเป็นต้องตรวจ CT-Scan Chest (ทรวงอก) เพื่อให้แพทย์เจ้าของไข้ประเมิน ดังนี้

  1. เพื่อวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง และความยาว ส่วนที่เป็นกระดูกอ่อน (Costal Cartilage) ของซี่โครง (Rib) แต่ละซี่
  2. ตรวจดูคุณภาพของกระดูกอ่อนซี่โครง (Rib Cartilage) ว่าดีพอที่จะนำมาใช้งานได้หรือไม่ มีหินปูนเกาะแทรกมากน้อยเพียงใด (Degree of Calcification)
  3. ตรวจดูว่ากระดูกอ่อนซี่โครงที่ได้คุณภาพนั้น มีปริมาณพอสำหรับการนำมาตกแต่งและเสริมโครงสร้างจมูก ตามปัญหาที่ต้องการแก้ไขของคนไข้หรือไม่
  4. ตรวจดูความผิดปกติ หรือ พยาธิสภาพในทรวงอก รวมถึงปอดว่าพร้อมเพียงใด เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัดและการดมยาสลบหรือไม่
ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

หลังจากตรวจตามผลของ CT-Scan Chest (ทรวงอก) แล้ว แพทย์จะทำการสรุปการประเมินว่าคนไข้สามารถใช้กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเองในการผ่าตัดเพื่อแก้ไขจมูกได้หรือไม่ครับ ซึ่งจำเป็นอย่างมากในการแก้ไขโครงสร้างจมูกไม่ว่าจะเป็นการเสริมใหม่ หรือแก้จมูกก็ตามครับ สรุปคือแพทย์จำเป็นต้องดูว่าคุณภาพกระดูกอ่อนซี่โครงของตัวคนไข้เองนั้น ใช้ได้ไหม และหากนำมาใช้จะสามารถแก้ไขปัญหาตามที่คนไข้ต้องการได้หรือไม่ครับ

นอกจากตรวจ CT-Scan Chest (ทรวงอก) แล้วสิ่งที่จำเป็นต้องตรวจด้วย คือ แพทย์ผ่าตัดจะให้ตรวจประเมินร่างกาย (Physical Examination) ตรวจเลือด (Blood Test) ตรวจเอ็กซ์เรย์ปอด (Chest X-ray) ดูความสามารถในการแข็งตัวของเลือด (Coagulogram) ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography) และอาจมีตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมตามปัญหาสุขภาพและอายุของคนไข้แต่ละบุคคล ทั้งนี้เพื่อให้วิสัญญีแพทย์ (Anesthesiologist) ประเมินความพร้อมทางด้านร่างกายของคนไข้ ว่ามีความพร้อมและมีความปลอดภัยที่จะผ่าตัดแบบดมยาสลบได้หรือไม่ครับ

ขั้นตอนการผ่าตัด
เพื่อเก็บกระดูกอ่อนซี่โครง
(Rib Cartilage Harvesting)

แพทย์จะเปิดแผลผ่าตัดบริเวณซี่โครงซี่ที่ต้องการ เป็นแผลขนาดเล็กประมาณ 3 – 4 เซนติเมตร แต่ในกรณีคนไข้เคสที่มีผิวและชั้นไขมันค่อนข้างหนา แพทย์อาจจำเป็นต้องเปิดแผลผ่าตัดยาวขึ้น เพื่อเพิ่มการมองเห็น field ผ่าตัดได้มากขึ้นนั้นเองครับ โดยการผ่าตัดเพื่อเก็บกระดูกอ่อนซี่โครงแบบนี้ ต้องทำการผ่าตัดแบบดมยาสลบ (General Anesthesia) จะดีที่สุดครับ ถ้าเป็นผู้หญิงแพทย์ก็จะเปิดแผลใต้ราวนม ในกรณีนี้ใครที่เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนมาก่อนจำเป็นต้องแจ้งแพทย์ทุกครั้งนะครับ เพราะแพทย์จะได้วางแผนผ่าตัด เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนซิลิโคนเต้านมที่คนไข้เสริมมานั้นเองครับ

หมายเหตุ : ในบางเคสหลังการเสริมโครงสร้างจมูก (Structural Rhinoplasty) แล้วมีกระดูกอ่อนบางชิ้นที่ไม่ได้ใช้ หรือเหลือบางส่วน แพทย์จะเก็บไว้ในบริเวณลึก ๆ ของแผลผ่าตัด หรือในบางเคสอาจเก็บใต้หนังศีรษะบริเวณท้ายทอยด้านข้าง เมื่อจำเป็นต้องใช้ภายหลัง จึงไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเก็บซี่โครงใหม่

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง
ในการเสริมจมูกหรือแก้จมูก

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

เสริมจมูกใหม่และแก้จมูก โดยใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
(Donate Rib/Cadaveric Costal Cartilage/Allograft Cartilage)

เป็นทางเลือกหนึ่งในการนำมาใช้ในศัลยกรรมตกแต่ง หรือศัลยกรรมจมูก (Rhinoplasty) โดยเฉพาะในกรณีที่คนไข้ไม่สามารถใช้กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเองได้ (Autologous Costal Cartilage) ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กระดูกอ่อนปริมาณมากและแข็งแรงเพียงพอในการตกแต่งและเสริมโครงสร้างจมูกใหม่ (Structural & Reconstruction Rhinoplasty)   

บริษัทผู้ผลิตแต่ละแห่งจะมีขบวนการ (Processing) ในการกำจัดเชื้อโรค และสิ่งที่ปนเปื้อนที่เราไม่ต้องการออก โดยมีกระบวมการที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • Hydroxide oxidation
  • Demineralization
  • Lyophilization
  • Gamma Ray Irradiation (Irradiated Homologous
  • Costal Cartilage; IHCC)
  • Freeze – Dried Process

ท้ายสุดก็จะได้กระดูกอ่อนซี่โครงที่ไม่มีชีวิตแล้ว (Nonvital Chondrocyte) ปะปนกับ Collagen และเนื้อเยื่อชนิด Proteoglycan บางส่วน

ข้อบ่งชี้ในการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค (Donate Rib)

การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีข้อจำกัดในการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง เช่น

  • ดมยาสลบไม่ได้ หรือไม่ต้องการผ่าตัดแบบดมยาสลบ
  • อายุมาก
  • มีโรคประจำตัวหลายอย่าง
  • คุณภาพของกระดูกอ่อนซี่โครงตัวเองไม่ดีพอจะนำมาใช้ เช่น มีปริมาณการเกาะของหินปูนแคลเซียมมาก (High Degree Calcification) หรือมีการสะสมของหินปูนแคลเซียมที่สมบูรณ์ไปแล้ว (Complete Calcification) เป็นต้น

การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
ในการเสริมจมูก/แก้จมูก

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคในการเสริมจมูก/แก้จมูก

การเสริมจมูกใหม่หรือแก้จมูก โดยใช้กระดูกอ่อนซี่โครง (Cartilage Rhinoplasty) คือ การนำกระดูกอ่อนซี่โครงมาตกแต่ง เสริมแทนที่โครงสร้างจมูกเดิมของเรา เพื่อปรับรูปร่างและขนาดของจมูกให้เหมาะสมกับใบหน้าของคนไข้โดยเป็นการผ่าตัดที่จำเป็นต้องใช้เทคนิคและทักษะทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและธรรมชาติ จากที่เราศึกษาและได้อ่านข้อมูลเรื่องความแตกต่างของ กระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง VS ซี่โครงบริจาค ในบทความก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ในรอบนี้หมอจะพามาทำความเข้าใจเรื่องเทคนิคการนำกระดูกอ่อนซี่โครงมาใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมจมูกกันครับ

เทคนิคการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง และซี่โครงบริจาค
(Various Forms of Use Autologous Rib and Donate Rib)

แพทย์สามารถนำกระดูกอ่อนซี่โครงทั้งของตัวคนไข้เอง หรือซี่โครงบริจาค มาใช้ในการเสริมสร้างและตกแต่งจมูกได้หลากหลายรูปแบบ (Different Forms) ได้แก่

1.การใช้ในลักษณะเป็นชิ้น (Block Form)

การใช้เทคนิคนี้เหมาะสำหรับเคสที่กระดูกอ่อนซี่โครงมีแคลเซียมบ้างระดับหนึ่ง (Some degree of ossification) จะได้ไม่แตก หรือเปราะง่าย ส่วนเรื่องของขนาด ความยาว และความหนาของกระดูกแต่ละชิ้น ขึ้นอยู่กับว่าแพทย์จะเอาไปใช้ในวัตถุประสงค์อะไร เช่น

  • ในเคสที่ต้องการเสริมสันจมูกให้หนา หรือโด่งสูงขึ้น (Dorsal Augmentation) เพื่อให้เห็นไฮไลท์ของสันจมูกแบบคมชัด (Obvious Dorsal Aesthetic line) แต่การใช้เทคนิคนี้จะมีผลกระทบตามมาคือ มีโอกาสเกิดการคด หรือ งอ (Warping) ของชิ้นกระดูกภายหลังได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพกระดูกอ่อนที่นำมาใช้ และระยะเวลาหลังการผ่าตัด
  • ในเคสที่ต้องการเสริมปลายจมูกให้โด่งสูงขึ้น (Increase Tip Projection)
  • ในเคสที่ต้องการยืดแกนจมูกให้ยาวขึ้น (Septal Extension Graft)
  • ในเคสที่ต้องการซ่อมแกนจมูกส่วนกลางที่มีปัญหา (Mid Vault Reconstruction/ Spreader Graft)
  • ในเคสที่ต้องการแต่งปลายจมูก : เพิ่มความสูง หรือเพิ่มปลายหยดน้ำ (Tip Plasty)

 

โดยการนำมาใช้แพทย์จะพิจารณาใช้ 1 ชิ้น วางชั้นเดียว (Mono-Block Form) หรือนำมาวางซ้อนกันหลายชั้น ในบางตำแหน่ง (Multilayer-Block Form / Laminated Form) เพื่อลดโอกาสในการเกิดการคด หรืองอภายหลัง (Warping Rate)

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

2. การใช้ในลักษณะบดละเอียด (Diced / Crushed Form)

โดยแพทย์จะนำชิ้นกระดูกอ่อนซี่โครงมาทำการบดละเอียดจนเป็นลักษณะผง (Ultrafine Diced Cartilage) เหมาะสำหรับในกรณีดังต่อไปนี้ คือ
เคสที่ต้องการเติมสันจมูก (Dorsal Augmentation) ให้ออกมาเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องการให้เห็นขอบสันจมูกคมชัดจนเกินไป (Very Natural Dorsal Aesthetic line)
แพทย์จะใช้ในกรณีที่ต้องการปรับความผิดปกติเล็กน้อยที่ตามโครงสร้างจมูกของคนไข้ เช่น มีการคด หรือเอียงของสันจมูกเพียงเล็กน้อย แบบนี้แพทย์สามารถนำกระดูกอ่อนซี่โครงที่บดแล้วมาเติมและปรับแต่งให้เหมาะสมได้
เคสที่กระดูกอ่อนซี่โครงอ่อนนุ่ม (Elastic) ยังไม่มีส่วนของกระดูกแข็ง หรือแคลเซียมมาเกาะ (No Ossification) และชิ้นส่วนนั้น ๆ ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้เป็น Mono Bloc หรือ Laminated Dorsal Implant ได้
เคสที่ระหว่างการผ่าตัดตกแต่ง หรือเหลากระดูกอ่อนแล้ว พบว่ามีการคดงอของชิ้นกระดูกอ่อนทันที (Immediate Warping)

ซึ่งเทคนิคนี้ไม่เหมาะกับเคสที่กระดูกอ่อนซี่โครงมีการสะสมของแคลเซียม หรือกระดูกแข็งเข้ามาแทรกในปริมาณมากนะครับ รวมถึงเคสที่มีการติดเชื้อ โดยเทคนิคการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบดละเอียด มีวิธีการใช้ในหลาย ๆ รูปแบบ ได้แก่

  • Free Diced Cartilage คือ กระดูกอ่อนซี่โครงรูปแบบผงบดละเอียดมาก ๆ (Ultrafine)
  • Diced Cartilage Glue Graft คือ การเชื่อมผงกระดูกอ่อนซี่โครงบดละเอียดให้ขึ้นรูป ด้วยกาวไฟบริน (Fibrin Grain) หรือเกล็ดเลือดของคนไข้เอง (Platelets Rich Fibrin; PRF)
  • Wrapped in Fascia คือ การใช้เยื่อหุ้มกระดูกอ่อนซี่โครง (Perichondrium) หรือ เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อบริเวณขมับ (Deep Temporal Fascia) หรือจากขา (Fascia Lata) มาห่อหุ้มกระดูกอ่อนซี่โครงบด (Diced Cartilage) แล้วใช้เสริมบริเวณสันจมูก

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

3. การใช้ในลักษณะแบบผสม (Mixed Form)

ในเทคนิคนี้แพทย์อาจพิจารณาใช้ทั้ง 2 เทคนิคข้างต้นมารวมกัน ทั้งแบบที่เป็นชิ้น (Block Form) และแบบบดละเอียด (Diced Form) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็น สถานการณ์ และความพึงพอใจของคนไข้ในแต่ละบุคคล รวมไปถึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในการประเมินเคสนั้นๆ ด้วย

5 เหตุผล เสริมจมูกโอเพ่นมาแล้ว
ทำไมยังต้องแก้จมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงอีก ?

ในปัจจุบันนี้เราคงต้องยอมรับว่าเคสคนไข้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดแก้จมูกโอเพ่นมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และในหลายเคสได้รับการผ่าตัดแก้ไขโครงสร้างทรงจมูก ด้วยเทคนิค Open มาก่อนแล้ว อ่าวก็ไหนว่าเทคนิค Open ทำแล้วจะจบไง ? วันนี้หมอจะพามาหาคำตอบพร้อมๆ กันครับว่าทำไหมคนที่เสริมจมูก Open มาแล้วยังต้องแก้จมูกโอเพ่นโดยใช้กระดูกอ่อนซี่โครงอีก

เหตุผลที่ 1 : แก้จมูกโอเพ่นมาแล้ว แต่รูปทรงยังไม่เป็นที่พอใจ จมูกยังดูสั้นเชิด ปลายยังดูใหญ่ ไม่ได้ทรงที่สวยงามตามชอบ

เหตุผลนี้ถือเป็นเหตุผลยอดฮิตที่คนเลือกแก้จมูกโอเพ่นยืดผนังกั้นจมูกเลยครับ คนไข้กลุ่มนี้เข้ามาปรึกษาหมอบ่อยมาก โดยเฉพาะใน 1-2 ปีนี้ ยิ่งมีมากขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผลการผ่าตัดครั้งแรก แม้จะทำด้วยเทคนิคโอเพ่นแล้ว แต่ยังไม่ได้ทรงที่พอใจนั้นมีได้หลายสาเหตุเลยครับ หมอขอยกตัวอย่าง 4 กลุ่มที่หมอพบบ่อยๆ เช่น

กลุ่มที่ 1 เคสที่มีโครงสร้างจมูกเดิมสั้น แต่ต้องการให้จมูกดูยาวขึ้น ในการผ่าตัดเสริมจมูก Open ครั้งแรกได้รับการยืดปลายจมูกด้วยกระดูกอ่อนผนังกั้นกลางจมูกแล้ว แต่ยังไม่ได้ความยาวตามที่ต้องการ สาเหตุกระดูกอ่อนผนังกั้นกลางจมูกที่นำมาใช้ในการยืดปลายจมูกนั้นมักจะมีขนาดเล็ก และมีขนาดสั้น เวลาที่แพทย์นำมาผ่าตัดแก้ไข้โครงสร้างเพื่อยืดปลายจมูกทำให้กระดูดอ่อนยาวไม่พอจะค้ำปลายจมูกให้ยาวขึ้น หลังผ่าตัดจึงได้ผลลัพธ์ไม่มากนัก บางครั้งความยาวปลายจมูกที่ได้ อาจไม่ต่างจากการเสริมซิลิโคนก็มีเหมือนกันครับ เช่นเดียวกันกับ

กลุ่มที่ 2 เคสที่มีโครงสร้างจมูกเดิมเนื้อปลายจมูกหนาใหญ่ ทำให้กระดูกอ่อนผนังกั้นกลางจมูกนั้นเล็ก ไม่สามารถยกปลายจมูกและปรับรูปทรงได้ชัดเจนตามที่คนไข้ต้องการครับ ซึ่งคนไข้ทั้งสองกลุ่มนี้ เหมาะสำหรับการแก้จมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง

กลุ่มที่ 3 เคสที่ผ่าตัดเสริมจมูกโอเพ่น แบบผิดวัตถุประสงค์ กล่าวคือผ่าตัดเสริมจมูก Open แต่ใช้ซิลิโคนในการเสริมสันจมูกและปลายจมูก ไม่ได้มีการแก้ไขโครงสร้างจมูกร่วมด้วย ทำให้รูปทรงจมูกที่ได้นั้นอาจจะไม่แตกต่างจากรูปทรงจมูกเดิม เพียงแค่จะดูจมูกมีมิติขึ้นเท่านั้น หรือในกลุ่มที่เคยเสริมซิลิโคนมาแล้ว มาแก้จมูกโอเพ่นแบบผิดวัตถุประสงค์นี้ก็เช่นกัน ทรงจมูกหลังแก้จะไม่ต่างจากทรงที่เคยเสริมเทคนิคซิลิโคนมาก่อนนั้นเองครับ อีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาปรึกษาหมอบ่อยเช่นกัน คือ

กลุ่มที่ 4 เคสที่รูปทรงจมูกไม่ได้สัดส่วนกับใบหน้า เช่น สันจมูกสูงเกินไป ทำให้ภาพรวมของใบหน้าดูแข็งเกินไป เป็นต้น

เหตุผลที่ 2 : ปลายจมูกไม่ได้สัดส่วนกับความกว้างฐานจมูกและปีกจมูก

หลายเคสเคยเลยนะครับที่เคยเสริมจมูกโอเพ่นมาแล้ว ปลายจมูกพุ่ง เล็ก ตีบเกินไป ปีกจมูกแฟบ ดูไม่ธรรมชาติ สำหรับสาเหตุนี้มักเกิดจากการเสริมจมูกที่ยกปลายจมูกไม่ได้สัดส่วนกับสันจมูกและโครงสร้างใบหน้า หรืออาจเกิดจากการเย็บตกแต่งกระดูกอ่อนปีกนกบริเวณปลายจมูกผิดวิธี และมีหลายๆ ครั้งเกิดจากคนไข้ได้รับการเสริมจมูก Open มาแต่ใช้ซิลิโคนในการเสริมทั้งปลายจมูกและสันจมูก ทำให้ปลายจมูกนั้นถูกยกขึ้นเฉยๆ โดยไม่ได้มีการแก้ไขโครงสร้างให้ปลายจมูกไม่ได้สัดส่วนที่เหมาะสมกับความกว้างฐานจมูก นอกจากนี้การผ่าตัดดังกล่าวจะทำให้รูจมูกถูกกดลง เห็นแนวรอยต่อระหว่างปลายจมูก และปีกจมูกชัดเจนขั้นอีกด้วย เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายของคนไข้มีการสร้างและหดรั้งของพังผืดรอบซิลิโคน ทำให้รอยต่อนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น ปลายจมูกก็ยิ่งจะเห็นเป็นลักษณะหัวซิลิโคนชัด ทำให้ทรงจมูกดูไม่เป็นธรรมชาติ

เหตุผลที่ 3 : เคสที่เสริมซิลิโคนมาแล้วปลายจมูกบางใส

เกิดจากการผ่าตัดเสริมจมูกโอเพ่น ที่ไม่เหมาะสมมีการใช้ซิลิโคนในการเสริมทั้งสันและปลายจมูก บางครั้งอาจมีการใช้กระดูกอ่อนหลังใบหู หรือเนื้อเยื่อเทียมรองปลายจมูกด้วย แต่เนื่องจากวัสดุที่เลือกใช้นั้นเป็นวัสดุนอกร่างกาย สังเกตตัวเองได้จากอาการหากเสริมจมูกแล้วเกิดความตึงบริเวณปลายจมูกอยู่มาก แบบนี้ก็สามารถทำให้เกิดภาวะผิวหนังปลายจมูกบาง หรือบางเคสรุนแรงถึงขั้นปลายจมูกทะลุได้ครับ ซึ่งการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงในการเสริมจมูก ร่วมกับใช้เยื่อหุ้มกระดูกอ่อนฟื้นฟูสภาพผิวที่บาง ให้หนาขึ้น

เหตุผลที่ 4 : เคสที่เสริมซิลิโคนมาแ้ล้วปลายจมูกเบี้ยวเอียง ผิดรูป รูจมูกไม่เท่ากัน

 สาเหตุนี้เป็นอีกสาเหตุที่พบได้บ่อย และแก้ไขค่อนข้างยากครับ เพราะมีความซับซ้อนในการผ่าตัด มักเกิดจากการผ่าตัดเสริมจมูกโอเพ่นที่ไม่เหมาะสม หรืออาจเกิดจากปลายจมูกคนไข้มีการเบี้ยวเอียง หรือผิดรูปเดิมอยู่แล้ว ทั้งจากเป็นตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดจากอุบัติเหตุ แต่การเสริมจมูกโอเพ่นครั้งก่อนหน้าไม่ได้แก้ปัญหานี้ให้จบก่อน จึงทำให้ผลลัพธ์หลังเสริมจมูก Open ปลายจมูกยังดูเบี้ยวเอียงอยู่ ซึ่งการแก้ไขต้องใช้กระดูกอ่อนปริมาณที่มากพอมาซ่อมแซมโครงสร้างจมูกส่วนที่เสียหาย ทำให้การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงเหมาะสำหรับเคสเหล่านี้

เหตุผลที่ 5 : เคสที่แกนสันจมูกดูเบี้ยวเอียง

สำหรับสาเหตุนี้ มักเกิดจากหลายปัจจัยแตกต่างกันไปแล้วแต่โครงสร้างของแต่ละบุคคลครับ เช่น

  1. เกิดจากโครงสร้างจมูกเดิมที่มีการเบี้ยวเอียงอยู่แล้ว แต่การเสริมจมูก Open ครั้งก่อนไม่ได้รับการแก้ไขในจุดที่เป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างจมูก
  2. เกิดจากโครงสร้างกระดูกใบหน้าเบี้ยวเอียง ทำให้เสริมจมูก Open มาแล้วแนวแกนจมูกอาจจะดูไม่ตรง ซึ่งการแก้ไข คือ ต้องผ่าตัดปรับแต่งโครงสร้างกระดูกใบหน้า และ/หรือ ขากรรไกรร่วมด้วย เพื่อให้โครงสร้างใบหน้าสมดุลรับตามมาตรฐาน
  3. เกิดจากการเสริมจมูกโอเพ่นครั้งก่อนมีการใช้ซิลิโคนในการเสริมสันจมูก ต่อมาในภายหลังซิลิโคนมีการลอยและเบี้ยวเอียง จากการที่ร่างกายเราสร้างผังพืดรอบซิลิโคนและเกิดการหดรั้ง หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุกระแทกบริเวณสันจมูกอย่างรุนแรง
  4. ในเคสที่เสริมจมูกโอเพ่นโดยใช้กระดูกอ่อนซี่โครง อาจจะเกิดจากการโค้งงอ หรือการสลายตัวบางส่วนของกระดูกอ่อนซี่โครงที่ใช้ในการเสริมสันจมูกได้ ซึ่งอัตราการเกิดแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยมีโอกาสเกิดขึ้นได้ 5 – 10% ตามอ้างอิงของงานวิจัยทั่วโลก เนื่องจากมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องค่อนข้างหลายปัจจัย เช่น ในคนอายุน้อยมาก ๆ กระดูกอ่อนซี่โครงมีโอกาสบิดโค้งงอได้สูง ในทางกลับกันกระดูกอ่อนซี่โครงของคนอายุมาก มักมีแคลเซียมเกาะในสัดส่วนค่อนข้างสูง ทำให้กระดูกอ่อนซี่โครงที่เสริมสันจมูกมีอัตราการสลายตัวค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังเกิดจากเทคนิคการผ่าตัด รวมถึงการดูแลรักษาตัวเองหลังผ่าตัดด้วยเช่นกัน โดยการผ่าตัดแก้ไขสำหรับคนที่เคยเสริมจมูก Open โดยใช้กระดูกอ่อนซี่โครงนั้น จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เกิดขึ้นของเคสครับ

 
โดยปัญหาแกนสันจมูกเอียงจากโครงสร้าง หลายๆครั้งต้องได้รับการตอกฐานจมูก เพื่อบิดจมูกให้อยู่แนวกลางใหม่ ทำให้เคสแก้จมูกสาเหตุนี้ มักต้องใช้กระดูกอ่อนที่ปริมาณมากและแข็งแรง เพื่อพยุงโครงสร้างจมูก

การนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาเสริมจมูก
หลังผ่าตัดจะมีผลกระทบอะไรไหม ?

คำถามนี้คนไข้ที่กำลังตัดสินใจจะแก้จมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง จะถามหมอบ่อยๆครับ “คุณหมอถ้าเราผ่าตัดเอากระดูกอ่อนซี่โครงออกมาเสริมจมูกแล้ว ตรงบริเวณซี่โครงที่หมอเอาออกมาจะเป็นอะไรไหม เสี่ยงอะไรหลังจากนั้นหรือป่าว ?” หมอขอแบ่งเป็น 2 ประเด็นนะครับ ประเด็นแรก คือ กระดูกอ่อนซี่โครงที่หมอผ่าตัดเอาออกมานั้นจะเป็นกระดูกอ่อนซี่ที่ 6 – 8 ซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายเราไม่ได้ใช้งาน คล้ายๆ เป็นเหมือนอะไหล่ไว้ให้ร่างกายเราประมาณนั้นครับ การนำออกมาจึงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับระบบการทำงานของร่างกายนั้นเองครับ

ส่วนประเด็นที่สอง คือ หลังจากผ่าตัดนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมานั้นเสี่ยงไหม หมอต้องบอกเลยว่าการผ่าตัดนำกระดูกซี่โครงออกจะมีผลกระทบที่ตามมาอยู่แล้วครับ แต่จะเกิดมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้น หมอจะขออธิบายผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังผ่าตัดนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมา โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทุกคน และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในบางคนเท่านั้นนะครับ

กลุ่มที่ 1 คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกคน ได้แก่อะไรบ้าง ?

1. รอยแผลผ่าตัดที่หน้าอก (Surgical Scar) 

เป็นสิ่งที่ต้องเจอแน่นอนครับ เนื่องจากเรามีการผ่าตัดบริเวณใต้หน้าอก เพื่อนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมา โดยแผลจะมีขนาดตั้งแต่ 1.5 – 4 เซนติเมตร ซึ่งขนาดของแผลขึ้นอยู่กับความหนาของชั้นไขมันที่หน้าอกบริเวณที่ผ่าตัด และความยาวของกระดูกอ่อนซี่โครงที่แพทย์ต้องนำออกมานะครับ แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันได้มีการนำกล้อง (Endoscope) มาช่วยในการผ่าตัดเพื่อช่วยให้ลดขนาดแผลผ่าตัดให้เล็กลง หรือบางเคสอาจเลือกการผ่าตัดผ่านแผลบริเวณรอบลานหัวนมก็จะช่วยให้ลดการเห็นรอยแผลผ่าตัดได้ โดยรอยแผลผ่าตัด (Surgical Wound) มักจะเห็นชัดในช่วง 1-3 เดือนแรก หลังจากนั้นแผลจะค่อยๆ จางลดจนสีใกล้เคียงผิวหนังบริเวณข้างเคียงครับ

ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่คนไข้กังวลเยอะ คือ แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar) และแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) หลังผ่าตัด หมอจะบอกว่ากรณีแบบนั้นไม่ได้เกิดกับทุกเคสนะครับ โดยเฉพาะแผลเป็นคีลอยด์นั้นโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะว่าเราสามารถป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์ด้วยวิธีต่างๆ ได้ เช่น การเลือกเทคนิคการผ่าตัดที่มีการรบกวนต่อขอบแผลน้อย มีการตกแต่งและเย็บแผลที่เหมาะสม มีการดูแลแผลหลังผ่าตัดที่ดีตามแพทย์แนะนำ การดูแลเหล่านี้จะสามารถลดโอกาสเกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่เราไม่อาจควบคุมได้ คือ พันธุกรรมของแต่ละบุคคลครับ เช่น พันธุกรรมเป็นคนที่เป็นแผลเป็นง่าย เป็นต้น

ในกรณีที่หลังผ่าตัดแล้วเกิดแผลเป็นนูน หรือแผลเป็นคีลอยด์ แพทย์มีวิธีแก้ไข คือ อาจเริ่มจากการใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid) ฉีดที่แผลเพื่อให้แผลนูนนั้นยุบตัวลง เลเซอร์ลดรอยแผลเป็นนูนใช้ในกรณีที่แผลเป็นนั้นนูนมาก หรือในเคสที่ใช้วิธีแรกแล้วไม่ได้ผลแพทย์จะพิจารณาใช้การผ่าตัดแก้ไขแผลเป็นนูน หรือแผลเป็นคีลอยด์ เพื่อตกแต่งแผลและเย็บใหม่ให้เหมาะสมเป็นลำดับสุดท้ายครับ

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

2. อาการปวดแผลหลังผ่าตัด (Postoperative Pain)

อาการปวดนี้เกิดเนื่องจากการผ่าตัดมีการไปรบกวนกล้ามเนื้อผนังช่องอกและเยื่อหุ้มกระดูกอ่อนซี่โครง ซึ่งถ้าหากมีการรบกวนกล้ามเนื้อเหล่านี้มากก็จะทำให้เกิดอาการปวดหลังผ่าตัดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเคสที่มีการตัดกล้ามเนื้อบางส่วน เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการผ่าตัดนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมา อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น และเราสามารถระงับอาการปวดได้ด้วยการฉีดยาแก้ปวด ใน 24 – 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด และรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือยากลุ่ม NSAIDS หลังผ่าตัด 1-2 สัปดาห์แรกเพื่อลดอาการปวดก็เพียงพอแล้วครับ หลังจากนั้นอาจจะเหลืออาการปวดบางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้อควรระวังหลังผ่าตัด คือ ในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังผ่าตัด ควรงดออกกำลังกายหนัก และงดการยกของหนักต่างๆ ครับเพราะจากกระทบการแผลผ่าตัดได้ครับ

3. อาการรู้สึกหายใจเข้าไม่สุด หรือหายใจตื้นหลังผ่าตัด (Shallow Breathing)

อาการหายใจตื้นและหายใจเร็วจะพบในช่วงแรกหลังผ่าตัด เนื่องจากอาการปวดบริเวณแผลที่ผ่าตัดทำให้หายใจเข้าได้ไม่เต็มที่ เพราะการหายใจเข้ามากๆ นั้นทำให้ไปขยายทรวงอกให้กว้างขึ้น จึงไปกระตุ้นอาการปวดแผลได้ เมื่ออาการปวดดีขึ้นการหายใจก็จะกลับมาเป็นปกติครับ ในระยะยาวการนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาเสริมจมูกนั้น ไม่มีผลต่อการหายใจของเรานะครับ เนื่องจากกระดูกซี่โครงที่นำออกมาเป็นกระดูกอ่อนและมีขนาดไม่ใหญ่มาก (ใช้ประมาณ 5-7 เซนติเมตร) จึงไม่ส่งผลต่อการขยายตัวของช่องอกเวลาเราหายใจเข้าหรือออก อย่างไรก็ตามถ้าให้สังเกตตัวเองด้วยนะครับ หากมีอาการหายใจไม่สุด แน่นหน้าอก เหนื่อยง่ายในช่วงหลังผ่าตัดมาระยะหนึ่งแล้ว ควรรีบแจ้งแพทย์ผู้ผ่าตัดทันที เพราะอาจเกิดจากมีภาวะเยื่อหุ้มปอดรั่วเป็นสาเหตุร่วมด้วยได้ครับ

กลุ่มที่ 2 คือ ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในบางคนเท่านั้น

1. แผลติดเชื้อหลังผ่าตัด (Surgical wound infection)

การติดเชื้อของแผลหลังผ่าตัด อาจเกิดขึ้นได้ครับ แผลมักจะมีอาการบวมแดง กดแล้วเจ็บมาก ถ้าอาการติดเชื้อเป็นมากจะมีหนองไหลออกมาจากแผลได้ อย่างไรก็ตามภาวะแผลติดเชื้อนี้เราสามารถป้องกันได้ โดยการทำความสะอาดแผลหลังผ่าตัดด้วยยาฆ่าเชื้อและน้ำเกลือที่สะอาด ร่วมกับมาตรวจและติดตามอาการหลังผ่าตัดกับแพทย์อย่างเคร่งครัดครับ

2. ภาวะเลือดออก (Hemorrhage) หรือเลือดคั่งหลังผ่าตัด (Hematoma)

เคสส่วนใหญ่มักจะไม่มีภาวะเลือดออกตามมาหลังผ่าตัดครับ ยกเว้นกรณีคนที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคเลือดออกง่าย หรือใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเกร็ดเลือดเป็นประจำ อาจจะเกิดภาวะเลือดออกหลังผ่าตัดได้ครับ เนื่องจากการผ่าตัดทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ หรือเส้นเลือดขนาดเล็กตามเนื้อเยื่ออ่อนรอบ ๆ กระดูกอ่อนซี่โครง หลังจากผ่าตัดนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมา บริเวณดังกล่าวจึงอาจจะเกิดภาวะเลือดออกได้ครับ แต่ไม่ใช่เลือดออกจำนวนมากจากการบาดเจ็บเส้นเลือดแดงขนาดใหญ่ เพราะแพทย์ผู้ผ่าตัดจะทำการห้ามเลือดหลังผ่าตัดนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาทุกครั้ง ดูจนแน่ใจว่าไม่มีเลือดออกต่อแล้ว จึงจะทำการเย็บปิดแผลผ่าตัดครับ

3. ภาวะเยื่อหุ้มปอดรั่ว (Pneumothorax)

ภาวะนี้เกิดจากการบาดเจ็บของเยื่อหุ้มปอดขณะผ่าตัดนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาได้ครับ ซึ่งอาจอาการของภาวะนี้ อาจจะเป็นเพียงอาการเล็กน้อย หรือเป็นถึงขั้นอาการรุนแรงมีผลต่อระบบการหายใจ จนต้องใส่สายระบายลมออกจากช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มปอดได้ แต่ภาวะนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมากครับ หากแพทย์ผู้ผ่าตัดเป็นแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญในการผ่าตัดนำกระดูกซี่โครงออกมาอยู่แล้ว ขณะผ่าตัดจะต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บต่อเยื่อหุ้มด้านหลังกระดูกอ่อนซี่โครงที่ติดกับเยื่อหุ้มปอด และหลังจากนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาแล้ว แพทย์ผู้ผ่าตัดจะทำการตรวจเช็คว่ามีลมรั่วออกมาจากปอดในบริเวณที่ผ่าตัดหรือไม่ ก่อนทำการเย็บปิดแผลผ่าตัด

4. ภาวะผนังทรวงอกบริเวณที่ผ่าตัด ยุบตัวผิดรูป (Chest wall deformity)

เกิดจากการที่นำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาแล้ว เนื้อเยื่ออ่อนผนังทรวงอกมีการยุบตัวไปแทนที่ตำแหน่งช่องว่างที่แพทย์ได้นำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมา ซึ่งมักเกิดและเห็นได้ชัดเจนในคนไข้ที่ผอมที่มีการนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกหลายตำแหน่ง ยกตัวอย่างเช่น ในเคสคนไข้ที่ไม่มีใบหูตั้งแต่กำเนิด จำเป็นต้องนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาหลายชิ้นเพื่อให้ได้บริมาณที่มากพอที่แพทย์จะนำไปใช้ในการผ่าตัดตกแต่งใบหูใหม่ แต่ในกรณีที่เรานำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาใช้สำหรับเสริมจมูก หรือแก้จมูก แพทย์มักจะใช้เพียงหนึ่งชิ้น ผ่าตัดเพียง 1 ตำแหน่ง และนำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาขนาดประมาณ 5-7 เซนติเมตรเท่านั้น จึงลดโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะผนังทรวงอกบริเวณที่ผ่าตัด ยุบตัวผิดรูป (Chest wall deformity) โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีผนังทรวงอกหนา จะไม่เกิดภาวะนี้ครับไม่ว่าจะมองจากภายนอก หรือคลำบริเวณแผลผ่าตัดที่นำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมา ส่วนกรณีคนไข้ผอมอาจจะคลำแล้วเจอช่องวางที่นำกระดูกอ่อนซี่โครงออกมาได้บางครับ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทางการแพทย์เรามีเทคนิคการลดช่องวาง โดยการนำกระดูกอ่อนซี่โครงที่นำออกมาแล้วเหลือจากการใช้ในการเสริมจมูก ร่วมถึงเนื้อเยื่อไขมัน นำมาใส่ทดแทนในช่องว่างดังกล่าว เพื่อช่วยให้ลดช่องว่างนี้ให้คลำเจอได้ยากขึ้นแม้ในคนไข้ที่ผอมก็ตามครับ

ขั้นตอนการผ่าตัดเสริมจมูกกระดูกอ่อนซี่โครง

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

ปรึกษาและวิเคราะห์ปัญหาโครงสร้างจมูก

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

ออกแบบทรงจมูก แบบเคสต่อเคส

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

ตรวจเยื่อบุโพรงจมูกด้านใน ผนังกั้นจมูกและไซนัสด้วยกล้องส่องโพรงจมูก ร่วมกับประเมินปัญหาภาวะจมูกตัน

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

CT Scan โครงสร้างจมูกและกระดูกใบหน้า เพื่อประเมินปัญหาที่ซ่อนอยู่

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

วางแผนการผ่าตัดจากข้อมูลต่าง ๆ อย่างรายละเอียด

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

ตรวจสุขภาพ เพื่อประเมินก่อนการดมยาสลบ โดยวิสัญญีแพทย์

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

การผ่าตัด ใช้เวลาประมาณ 6-12 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยากง่าย)

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

หลังการผ่าตัด 3 วันแรก นัดทำความสะอาดแผลผ่าตัดที่จมูกและอก   ร่วมกับการฉายแสงลดบวม (Low Level Laser)  และการให้ยาฆ่าเชื้อหลังการผ่าตัด

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

นัดตัดไหมที่จมูกและอก ประมาณ 7-14 วัน  ใส่เฝือกหลังการผ่าตัด 7-14 วัน

ศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rhinoplasty with Rib)

นัดติดตามอาการ 14 วัน, 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน, 1 ปีหลังการผ่าตัด  หลังจากนั้นจะติดตามปีละ 1 ครั้ง

การดูแลแผลหลังผ่าตัดเสริมจมูกด้วยกระอ่อนซี่โครง

  1. ใช้ก้านสำลี(Cotton buds) ชุบน้ำเกลือที่สะอาด ซับทำความสะอาดแผลเบาๆ โดยไม่ถูแรง ตั้งแต่หลังผ่าตัดใหม่ๆ จนถึงวันนัดตัดไหม โดยไม่ปล่อยให้เกิดสะเก็ดแผลเกรอะกรัง เพราะจะทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น (โดยเฉพาะใน 2-3 วันแรก หลังผ่าตัด จะมีน้ำเหลืองปนเลือดเก่าๆ ไหลออกจากจมูก จึงต้องทำความสะอาดบ่อย ๆ ยิ่งในช่วง 6 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด ต้องซับบ่อย ๆ เป็นพิเศษ) กรณีผ่าตัดเสริมจมูกแบบ Open : ใช้ผ้าก๊อสสะอาดที่คลินิกชุบน้ำเกลือหมาดๆ วางบริเวณบาดแผลส่วนหยดน้ำของปลายจมูก เพื่อให้ผ้าก๊อสซับเอาน้ำเหลืองและเลือกเก่าๆ ออก โดยวางไว้ 10-15 นาที แล้วเปลี่ยนผ้าก๊อสใหม่
  2. ให้นอนหงายศีรษะสูงประมาณ 30 องศา หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์
    เพื่อลดอาการบวมของแผลและใบหน้า
  3. ประคบเย็นบริเวณข้างๆ จมูกและระหว่างคิ้ว 1 – 2 วันแรกหลังผ่าตัด
    เพื่อลดและป้องกันการบวมช้ำ
  4. รับประทานยาแก้อักเสบตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดจนหมด
    เพื่อป้องกันการอักเสบและติดเชื้อ
  5. สำหรับยาลดบวมให้ทานวันรุ่งขึ้นและทานหลังอาหารทันที
    และทานน้ำตาม 2 แก้ว เนื่องจากยาดังกล่าวอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  6. งดอาหารหวาน อาหารรสจัด อาหารเผ็ดร้อน ของหมักดองและแอลกอฮอล์งดอย่างน้อย 1 เดือน
  7. หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำจนถึงวันนัดตัดไหม
  8. งดการออกกำลังกายและเที่ยวกลางคืน 1เดือน หลังผ่าตัด
  9. งดการนอนคว่ำ, นอนตะแคง, การนวดหน้า 1 เดือนหลังผ่าตัด   ระวังอย่าให้บริเวณผ่าตัดโดนกระแทก
  10. งดการฉีกยิ้ม หัวเราะบ่อย ๆ และอ้าปากกว้างเพราะจะทำให้แผลปริหรือแยกได้ (ถ้าเสริมจมูแกแบบ Open โครงสร้างจมูกที่ทำไปอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)
  11. งดทานอาหารแข็งหรือเหนียว ที่ต้องเคี้ยวบ่อย ๆ เพราะจะทำให้แผลปริหรือแยกได้เช่นกัน
  12. ในกรณีที่ใส่เฝือกหลังการผ่าตัด จะต้องใส่เฝือกดามจมูกไว้ อย่างน้อย 7 วัน (ยกเว้นการสริมแบบมีการตอกฐานใส่เผือกอย่างน้อย 14 วัน)
  13. ไหมที่เย็บแผลในรูจมูกจะหลุดและละลายเองภายใน 2 สัปดาห์  ส่วนไหมที่เย็บภายนอกและแผลตัดปีกจมูก และไหมที่อก เป็นไหมไม่ละลาย ทางคลินิกฯ จะนัดมาตัดไหมหลังผ่าตัด 7-14วัน (ห้ามดึงหรือถอนออกโดยเด็ดขาด)
  14. กรณี มีแผลจากการผ่าตัดเอากระดูกอ่อนหลังหูมาใช้ ทางคลินิกฯ จะนัดมาเปิดแผลหลังผ่าตัด 3 วัน (หลังจากเปิดแผลให้ทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือสะอาด แล้วทาด้วยขี้ผึ้งยาบางๆ เช้า-เย็น จนถึงวันตัดไหม)
  15. งดใส่แว่นตา 1 เดือน
  16. งดทานวิตามินบำรุงและยาที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดได้แก่ Fish Oil , Vitamin E C , Grape Seed , Green Tea , สารสกัดจากแปะก๊วย , กระเทียมได้ ก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ (ยกเว้นคอลลาเจนบริสุทธิ์ เช่น Colla Pure และ Surtamin ลดบวม)
  17. ต้องมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลการผ่าตัดตามวัน/เวลาที่ทางคลินิกฯ นัดหมายอย่างเคร่งครัด
  18. ในกรณี ที่เป็นหวัด น้ำมูกไหล หลังการผ่าตัดต้องรีบแจ้งให้คลินิกฯ ทราบทันทีเพราะถ้าไม่รีบรักษา อาจชักนำให้เกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรงได้
  19. กรณีมีแผลจากการผ่าตัดเอากระดูกอ่อนหลังหู ให้สระผมได้หลัง 3 วัน (แนะนำให้สระที่ร้าน ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ)
  20. บริเวณผ่าตัดจะบวมมากในวันที่ 2 – 4 หลังผ่าตัด ไม่ต้องตกใจอาการบวมจะค่อยๆลดลงเรื่อย ๆ ใน 1 สัปดาห์ การเสริมจมูกแบบ Open รูปทรงจมูกจะยุบเข้ารู ประมาณ 50-60 % ใน 1 เดือนและจะเข้ารูปเกือบ 100% ประมาณ 6 เดือนขึ้นไปถึง 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
    1. สภาพผิวหนังของคนไข้ เช่น คนที่เป็นสิวง่าย ผิวมัน รูขุมขนกว้าง การยุบตัวจะช้าลง
    2. เป็นเคสเสริมใหม่ หรือเคสแก้ เพราะเคสผ่าตัดที่เป็นเคสแก้ การยุบบวมก็จะช้ากว่าเคสเสริมใหม่
    3. พฤติกรรมและการใช้ชีวิต เช่น คนที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ นอนดึก พักผ่อนน้อย การยุบบวมก็จะช้าลง
    4. โรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้โพรงจมูกอักเสบ หรือไซนัสเรื้อรัง การยุบบวมก็จะช้าลง

คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังตัดไหม

  1. ให้ทาแผลด้วยขี้ผึ้งยาบาง ๆ เช้า – เย็น ต่อเนื่อง 1 สัปดาห์
  2. แผลที่หายใหม่โดยปกติจะมีอาการคันบ่อย ๆ ห้ามแกะ เกา โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แผลผ่าตัดแยกกันได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลเป็นและติดเชื้อซ้ำซ้อนได้ แต่ถ้าคันมากให้แก้โดยทาขึ้ผึ้งยาที่คลินิคจัดให้แทน
  3. ห้ามให้ยาทาแผลเป็นที่คลินิกไม่ได้โดยแนะนำเด็ดขาด
  4. ถ้าต้องการใช้ยาทาครีมหรือเจลสำหรับป้องแผลเป็นให้เริ่มใช้หลังตัดไหม 7 วัน หรือตามดุลยพินิจของแพทย์ วิธีการทาห้ามใจร้อย 
  5. ให้ทาแผลบางๆ วันละ 1 ครั้ง สัก 5 วัน หากไม่มีการระคายเคืองหรือแดงคันให้ทาบางๆ วันละ 2 ครั้ง ไปเรื่อยๆ จนกว่าแผลจะหาย