บริเวณถุงใต้ตา หรือตาล่าง (Lower Eyelid) ถือว่าเป็นบริเวณสำคัญของใบหน้า เนื่องจากเป็นบริเวณแรกของใบหน้าที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะเป็นสัญญาณเตือนของความเสื่อมบนใบหน้านั้นเอง (Early Sign of Aging Face) ถุงใต้ตา (Eyebags) เป็นหนึ่งในอาการแสดงความเสื่อมของตาล่างและแก้ม (Lower Eyelid & Midface Aging Process) เวลาเรามีถุงใต้ตาจะทำให้แลดูเหนื่อยล้า (Tired Look) , เศร้าหมอง (Sad Look) และมองเห็นรอยต่อระหว่างบริเวณใต้ตาและแก้มชัดเจนขึ้น (Elongation Of Lid-Cheek Junction) ยิ่งทำให้ใบหน้าแลดูมีอายุมากขึ้น
บางคนมีถุงใต้ตาร่วมกับภาวะกล้ามเนื้อใต้ตาโต (Pretarsal Orbicularis Oculi Hypertrophy) หรือ ทำ Dolly Eye มาก่อน จะทำให้มองเห็นบริเวณใต้ตาเป็น 2 ลอน (Double Contour) เนื่องจากมีการหย่อนคล้อยของถุงใต้ตา (Orbital Septum) จะทำให้ไขมันใต้ตา (Infraorbital Fat) โป่งพองออกมาให้เห็นเป็นถุงยิ่งถุงไขมันมีขนาดใหญ่ ก็จะทำให้เห็นเงา (Shadow) บริเวณใต้ถุงชัดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดรอยดำคล้ำรอบดวงตา (Dark Circle) ในกรณีดังกล่าว ก็จะยิ่งทำให้เราแลดูสูงวัย และรู้สึกแย่ลงไปอีก จนขาดความมั่นใจได้ บางครั้ง Make up กลบไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาเรานอนดึกเป็นประจำ , เวลายุ่งกับงานและเครียดหนัก ๆ ติดต่อกัน ถึงแม้ว่าเวลายิ้มแก้มเราจะยกขึ้น และทำให้ดูดีขึ้นก็ตาม
ดังนั้นก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจโครงสร้างของเปลือกตาล่างกันนะครับ ซึ่งเปลือกตาล่างจะมีโครงสร้างแตกต่างจากเปลือกตาบนคนค่อนข้างมาก รวมถึงการทำงานที่ต่างกัน ทำให้การผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา ที่เปลือกตาล่าง จึงมีความแตกต่าง และในบางครั้งการผ่าตัดแก้ไขโดยการนำไขมันตาล่างที่นูนออก ยังได้ผลลัพธ์ที่ไม่เพียงพอ รวมถึงความเข้าใจผิด ที่ต้องตัดผิวหนังตาล่างออกเยอะ ในเคสที่มีเปลือกตาล่างหย่อนคล้อย ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น ตาปลิ้น หลับตาไม่สนิท
ภาวะปกติของบริเวณใต้ตา (Normal Undereye Area)
ภาวะที่มีความเสื่อมของบริเวณใต้ตาและแก้ม (Aging Lower Eyelid & Midface)
ถุงไขมันใต้ตาที่ถูกดันนูนออกมานี้จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ถุงใต้ตา (Eye bags)” มีลักษณะเป็นผิวหนังบริเวณใต้ตาหย่อนคล้อย มีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด หรือทำให้เปลือกตาด้านล่างดูบวม หรือนูน ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนล้า ไม่สดใส และแก่กว่าวัย ซึ่งภาวะดังกล่าวเป็นปัญหาที่สามารถพบได้ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
จริง ๆ แล้ว ไขมันบริเวณใต้ตาเป็นองค์ประกอบหลักที่มีอยู่ในเบ้าตาอยู่แล้ว ทำหน้าที่ช่วยรองรับลูกตาและป้องกันลูกตาจากการกระทบ กระเทือน เราเรียกไขมันเหล่านี้ว่า “ถุงไขมัน” ซึ่งมีทั้งบริเวณเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทำให้ถุงไขมันที่หลบอยู่ใต้ผิวหนังถูกดันนูนออกมาจนมองเห็นได้ชัดเจนนั่นเอง
จริง ๆ แล้ว ไขมันบริเวณใต้ตาเป็นองค์ประกอบหลักที่มีอยู่ในเบ้าตาอยู่แล้ว ทำหน้าที่ช่วยรองรับลูกตาและป้องกันลูกตาจากการกระทบ กระเทือน เราเรียกไขมันเหล่านี้ว่า “ถุงไขมัน” ซึ่งมีทั้งบริเวณเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทำให้ถุงไขมันที่หลบอยู่ใต้ผิวหนังถูกดันนูนออกมาจนมองเห็นได้ชัดเจนนั่นเอง
สาเหตุที่ 1 การหย่อนของถุงหุ้มไขมันใต้ตา (Herniated Orbital Septum)
เกิดจากตัวถุงหุ้มของไขมัน ใต้ตามีการหย่อนยานนะครับในส่วนของสาเหตุที่เกิดการหย่อนยาน ก็มักจะเกิดจากอายุที่มากขึ้น เกิดจากบางคนที่มีความเครียดสะสม ไม่ได้พักผ่อน ใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเปลืองมากเกินไป นอนดึก เป็นต้น ก็จะทำให้ถุงไขมันใต้ตาหย่อน พอหย่อนยาน ไขมัน ที่มีอยู่เท่าเดิมก็จะป่องปูดออกมา ทำให้มีเห็นเป็นถุงชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาเราเครียดหรือว่านอนดึก เป็นต้น
สาเหตุที่ 2 โครงสร้างของกระดูก บริเวณขอบตาล่างยุบตัวลง (Flat/Negative Vector Midface)
เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับตัวถุงของไขมันใต้ตาเลย แต่อาจจะเกิดจากโครงสร้างที่อยู่รอบๆ โดยเฉพาะบริเวณใต้เบ้าตาตรงนี้ หมอยกตัวอย่าง เช่น อาจจะเกิดจากโครงสร้างของกระดูกตรงส่วนแก้มด้านหน้ามีการยุบตัวลงไป บางครั้งอาจจะเกิดจากหน้าแบนหรือยุบตั้งแต่กำเนิด หรือบางคนอาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือว่ามีการผ่าตัดทำให้กระดูกตรงนี้มีการยุบตัวลง ถุงใต้ตาที่มีอยู่เท่าเดิมก็จะมองเห็นชัดขึ้น เป็นต้น
วิธีการแก้ไขมีหลายวิธีโดยแพทย์จะพิจารณาตามปัจจัยหลายๆ อย่าง ได้แก่
ก่อนหน้านี้หมอได้อธิบายถึงปัญหาของถุงใต้ตา (Eye Bags) สาเหตุของการเกิดถุงใต้ตาไปแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็คง อยากจะทราบวิธีการแก้ไขปัญหาหรือว่าบอกลาถุงใต้ตากันแล้วนะครับ สำหรับวิธีแก้ไขถุงใต้ตาจะแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ คือ
การฉีดสารเติมเต็มบริเวณรอบ ๆ ถุงใต้ตากลบให้แลดูเรียบเนียน ในกรณีที่มีถุงใต้ตาน้อย ไม่เด่นชัดมาก สามารถรักษาได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็มกลบใต้ตา (Camouflage Filling ) คือการฉีดสารเติมเต็มบริเวณรอบ ๆ ถุงใต้ตากลบให้แลดูเรียบเนียน เพื่อช่วยให้ถุงใต้ตาดูตื้นขึ้น วิธีนี้เป็นวิธีที่เราไม่ได้ไปยุ่งกับถุงใต้ตาเลย เพียงแต่เราฉีดสารเติมเต็มเข้าไปบริเวณใต้ หรือรอบ ๆ ถุงใต้ตา โดยสารเติมเต็มที่นิยมในปัจจุบัน จะแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ฟิลเลอร์และไขมันตัวเอง
การเติมไขมันตัวเอง (Autologous Fat Graft Rejuvenation)
สำหรับคนที่ชอบสารธรรมชาติและของตัวเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องสิ่งแปลกปลอม ซึ่งบริเวณใต้ตาส่วนใหญ่แล้ว แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญจะเลือกไขมันที่เตรียมแบบพิเศษ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Nano Fat Graft โดยแพทย์จะใช้การดูดไขมันบริเวณที่มีเซลล์มากอย่าง เช่น บริเวณท้องน้อย ต้นขา หรือว่า ขาด้านใน เป็นต้น มาผ่านกระบวนการพิเศษเพื่อทำให้โมเลกุลมันเล็กลง เพื่อให้ได้เซลล์ที่มากขึ้น ก็จะได้ผลดีที่มากขึ้นและการฉีดเรียบเนียนมากกว่าเทคนิคปกติ สิ่งที่หมอชอบสำหรับการเติมไขมันหรือว่าฉีดไขมัน ก็คือ มีโอกาสอยู่ ได้ตลอดไปนะ ถึงแม้ว่าบางส่วนจะตายไปบ้างนะครับ เนื่องจากถ้าไขมัน ที่เติมเข้าไปสามารถเกิดการ Take Graft อย่างสมบูรณ์ หรือการที่บริเวณที่เติมไขมัน ใบหน้าเรามีการสร้างเส้นเลือดใหม่ เข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ไขมัน ได้อย่างสมบูรณ์ โอกาสที่เซลล์ไขมัน จะแข็งแรงและติดอยู่ตลอดก็จะมีสูงนะครับ และที่สำคัญ คือเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบของปลอมหรือสารสังเคราะห์ ชอบการฉีดที่เป็นธรรมชาตินะครับ
วิธีนี้หมอจะต้องเข้าไปผ่าตัดถุงใต้ตาโดยตรงนะครับ โดยปกติแล้วจะมีวิธีการผ่าตัดอยู่ 2 วิธี นะครับ ตามความเหมาะสมของคนไข้แต่ละรายนะครับ
กรณีปริมาณถุงใต้ตามาก ในกรณีที่มีไขมันบริเวณใต้ตาปริมาณมากจนทำให้มีถุงที่ใต้ตามากตามไปด้วย สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด เอาไขมันถุงใต้ตาออก (Eye Bags Removal) หรือใช้เทคนิคใหม่อย่างการย้ายถุงไขมัน ที่ใต้ตาไปกลบบริเวณที่เป็นร่องใต้ตา (Orbital Fat Repositioning) มีรายละเอียด ดังนี้
ผ่านแผลด้านใน ทำให้ไม่เห็นรอยแผลด้านนอก เหมาะสำหรับ การผ่าตัด ที่ถุงใต้ตาอย่างเดียว เหมาะสำหรับ ในกรณีที่คนไข้ต้องการกำจัด หรือบอกลาแค่ไขมันที่ทำให้เกิดถุงใต้ตา โดยหมอก็จะผ่าตัดเอาไขมัน ใต้ตาส่วนเกินออกผ่านแผลด้านในเปลือกตาล่าง โดยที่ไม่มีแผลภายนอกให้เห็น
ผ่านแผลด้านนอก (Subciliary lower blebpharoplasty) เทคนิคแผลแบบนี้แพทย์มักเลือกในคนที่ใต้ตามีหนังส่วนเกิน หรือมีรอยย่นใต้ตาค่อนข้างเยอะ หรือในเคสที่ต้องการที่จะผ่าตัดดึงร่องแก้มร่วมด้วยนะครับ
ในกรณีแบบนี้หมอจำเป็นจะต้องผ่าตัดจากแผลภายนอกนะ โดยปกติแผลจะอยู่บริเวณใต้ตานะครับ ห่างจากขอบตาล่าง ประมาน 2 มิลลิเมตร ซึ่งทุกคนไม่กังวลเรื่องรอยแผล เนื่องจากโดยปกติแล้วแผลจะค่อย ๆ หายไปในที่สุด
ในบางกรณีแพทย์จะพิจารณาเอาไขมันถุงใต้ตาออกเพื่อปรับพื้นที่ให้เรียบแล้วค่อยเติมเต็ม (Retouch) ด้วยไขมัน (Nano Fat Graft) ให้ดูเรียบเนียนมีมิติที่สมดุลย์กับแก้มทันทีหลังผ่าตัด หรือรอ 1-3 เดือน หลังผ่าตัด
ในบางครั้ง หนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าตนเองมีไขมันบริเวณใต้ตามาก จนทำให้เกิดถุงใต้ตาแต่จริง ๆ แล้ว ถุงใต้ตาเหล่านี้เป็นเพียงถุงใต้ตาเทียมเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การนอนดึกมาก อาการภูมิแพ้เยื่อบุตา เยื่อบุจมูก หรือชอบขยี้ตาเป็นประจำ ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดบริเวณถุงใต้ตาขยายตัวขึ้น ทำให้มองเห็นเหมือนเป็นถุงใต้ตานั้นเอง ถ้าหากเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม และรักษาสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดบริเวณถุงใต้ตาขยายตัวได้ก็จะช่วยให้สามารถลดถุงใต้ตาที่เรามองเห็นนี้ ให้ดีขึ้นได้นั่นเอง
ผลลัพธ์ของการผ่าตัดถุงไขมันออก การผ่าตัดย้ายไขมันรวมถึงการจัดเรียงไขมันบริเวณใต้ตาใหม่ จะขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกายของแต่ละคน โดยปกติแล้วจะสามารถอยู่ได้นานหลายสิบปี แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป ความกระชับของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ดวงตาก็อาจเสื่อมลง และทำให้กลับมามีถุงใต้ตาได้ใหม่เช่นกัน
ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจก่อนว่าไขมันบริเวณใบหน้าของเรา จะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
แต่ในกรณีที่มีการยุบตัวของแก้มและขอบตาล่างมาก ถุงไขมันที่ย้ายมาอาจไม่เพียงพอ แพทย์อาจพิจารณาเติมไขมัน (Fat Graft) จากบริเวณอื่น ๆ เพื่อนำมาเติมเพิ่มให้เรียบเนียน มีมิติสมบูรณ์มากขึ้น วิธีนี้นอกจากแพทย์จะแก้ปัญหาเรื่อง ถุงใต้ตาได้แล้ว ยังสามารถที่จะแก้ปัญหาร่องใต้ตาที่ดูโบ๋ลึกได้อีกด้วย
สำหรับหมอแล้วก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงใต้ตา คนไข้ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจและประเมินอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้แพทย์ตัดสินใจเลือกเทคนิคผ่าตัดที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละรายมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผลของการผ่าตัดเป็นที่พอใจของแต่ละคนและที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัยและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนให้ได้มากที่สุด
ซึ่งสาเหตุที่ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม เพราะการศัลยกรรมถุงบริเวณใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหนังตาล่าง หรือเก็บถุงใต้ตา หากวางแผนการรักษาได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอาการตาแหก ตาปลิ้นได้ ผลเสียที่ตามมาก็คือ ทำให้เกิดความผิดหวังเสียบุคลิกภาพ และความมั่นใจ นอกจากนี้ยัง ส่งผลต่อสุขภาพดวงตา ไม่ว่าจะเป็นอาการตาแห้ง (Dry eyes) ที่นำไปสู่การเกิดแผลที่กระจกตา (Corneal ulcer) การที่เราศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงใต้ตาอย่างละเอียด และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง ก็จะช่วยให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้นั่นเอง สำหรับใครที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถกดดูคลิปวิดีโอสิ่งที่ควรรู้ก่อนผ่าตัดถุงใต้ตา / เก็บรอยย่นหนังตาล่าง จากหมอกรที่ด้านล่างนี้ได้เลย
ภาวะเปลือกตาล่างและ หรือที่บางคนเรียกว่า ตาปลิ้นหรือตาแหก เป็นลักษณะของขอบเปลือกตาที่ม้วนออกด้าน นอก ไม่แนบชิดอยู่กับผนังลูกตาตามปกติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความหย่อนคล้อยของโครงสร้างเปลือกตาตามวัย , เกิดการการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อรอบดวงตา , มีการดึงรั้งจากก้อนเนื้อที่อยู่บริเวณขอบเปลือกตาด้านนอก หรือการดึงรั้งจากแผลผ่าตัด เป็นต้น หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย หลังจากการผ่าตัดถุงใต้ตา คือ ภาวะเปลือกตาและนี่เอง กลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
ความเสี่ยงจากตัวของผู้ป่วยเอง ได้แก่
ความเสี่ยงจากการผ่าตัด
การตรวจประเมินความแข็งแรงของเปลือกตา
แนวนอน ( horizontal lid laxity test) ทำได้ 2 วิธี ได้แก่ Canthal tendon laxity test, Eyelid Distraction test
แนวตั้ง (vertical lid laxity test) โดยการตรวจ Eyelid Snap back test
การตรวจระดับโครงกระดูกเบ้าตา (orbital vectors)
เป็นการประเมินระดับความสูงของกระดูกเบ้าตา (maxillary bone) เทียบกับระดับความโค้งของกระจกตา (corena) ทำโดยให้คนไข้นั่งศีรษะตรงและมองตรงไปด้านหน้า และผู้ประเมินจะดูด้านข้าง (sagital view) กรณีที่กระดูเบ้าตาตํ่า = negative vector ตามรูป คือ ระดับกระจกตาจะอยู่หน้าต่อขอบกระดูกเบ้าตา คนไข้กลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนเปลือกตาแบะปลิ้น (lower lid ectropion) หรือเปลือกตาหดรั้ง (lower lid retraction) หลังทำการผ่าตัดถุงใต้ตาได้เรา
เมื่อได้รับการตรวจอย่างละเอียด แพทย์จะทราบถึงปัญหาและข้อจำกัดของคนไข้แต่ละราย ทำให้การเลือกเทคนิค การผ่าตัดสำหรับคนไข้แต่ล่ะรายแตกต่างกันไปสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างเปลือกตาไม่แข็งแรง มีความเสี่ยงของการเปิดเปลือกตาแบะ ปลิ้นหรือแหก ไม่ควรตัดผิวหนังบริเวณใต้ตาออกมากจนเกินไป (conservative skin removal) ควรได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ , หลีกเลี่ยงการลงแผลผ่าตัดผ่านผิวหนังทางด้านนอก เพื่อลดโอกาสการเกิดแผลดึงรั้ง เปลือกตาให้แบะออก
หากคนไข้มีกล้ามเนื้อรอบดวงตาไม่แข็งแรง ก็ไม่ควรลงแผลผ่าตัดผ่านผิวหนังเช่นกัน เนื่องจากจะมีความเสี่ยง ให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อรอบดวงตา และไม่ควรตัดกล้ามเนื้อรอบดวงตาออก นอกจากนี้แพทย์จะพิจารณาให้ผ่าตัดขึงใต้ตาเพิ่มด้วย เพื่อให้หนังตาล่างตึงโดยจะเป็นการผ่าตัดขึงขอบหนังตาล่างกับกระดูกขอบตาด้านหน้า เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างตาแหก ตาปลิ้น
กรณีที่มีกระดูเบ้าตาตํ่า หรือกระดูกเบ้าตาทรุด ก็เป็นความเสี่ยงของการเกิดภาวะเปลือกตาแบะ หรือเปลือกตา หดรั้งเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรทำการผ่าตัดด้วยการลงแผลผ่านผิวหนัง หรือพูดง่าย ๆ คือ คนไข้ที่มีความเสี่ยงตามที่กล่าวไปข้างต้น ควรพิจารณาการผ่าตัดด้วยเทคนิคการผ่าตัดถุงใต้ตาแผลใน หรือการผ่าตัดผ่านเยื่อบุผิวตานั่นเอง (lower blepharoplasty trans conjunctival approach) นอกจากนี้แล้ว ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ในระหว่างการผ่าตัดที่สำคัญ เช่น ไม่ควรจี้เยอะจนเกินไป (minimize cauterization) เพื่อลดโอกาสการเกิดผังผืดที่เปลือกตา เป็นต้น
โดยทั่วไปอาการบวมหลังผ่าตัดจะเป็นมากในช่วง 48 ชั่วโมงแรก อาการบวมนี้จะแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดว่าทำมากทำน้อย เคสผ่าตัดครั้งแรกหรือเคสแก้ไข ลักษณะผิวของ แต่ละคน ประมาณวันที่ 5-7 หลังผ่าตัด หมอจะนัดมาประเมิณแผลและทำการตัดไหม หลังตัดไหม 24 ชั่วโมง สามารถล้างหน้าได้ตามปกติอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ประมาณ2สัปห์ดา อาการบวมจะลดลงค่อนข้างมาก หนึ่งเดือนหลังผ่าตัด ผลลัพธ์จะเข้าที่ประมาณ 50% สามเดือนหลังผ่าตัดประมาณ 80% และหลังผ่าตัด 6 -12 เดือน ผลลัพธ์จะเข้าที่เต็มที่
ปัญหาเคสนี้ :
ร่องลึกใต้ตา (Tear tough deformity) ร่วมกับมีถุงไขมันใต้ตา
เทคนิคการผ่าตัดสำหรับเคสนี้
ปัญหาเคสนี้ :
ร่องลึกใต้ตา (Tear tough deformity) ร่วมกับมีถุงไขมันใต้ตา มีผิวส่วนเกินใต้ตาเล็กน้อย
เทคนิคการผ่าตัดสำหรับเคสนี้
ปัญหาเคสนี้ :
ร่องลึกใต้ตา (Tear toughdeformity) ร่วมกับมีถุงไขมันใต้ตาค่อนข้างชัด + ผิวหนังใต้ตาหย่อนและขอบตาล่างแบะออก
เทคนิคการผ่าตัดสำหรับเคสนี้
Q : หลังผ่าตัดใต้ตาสามารถฟิลเลอร์ได้ไหม ?
A : สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ นั้นสามารถทำได้ แต่ต้องรอให้กระบวนการหายของแผลหลังผ่าตัดสมบูรณ์ก่อน โดยปกติจะเริ่มฉีดได้ ตั้งแต่ 6 เดือนหลังผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ในเคสหลังผ่าตัด โครงสร้างของเปลือกตาล่างและโหนกแก้ม จะเปลี่ยนไปจากเดิม การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรทำด้วยความระมัดระวังอย่างมาก แนะนำให้ฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
Q : การฉีดสารโบทูลินัมท็อกซินลดริ้วรอยหางตาหลังผ่าตัดถุงใต้ตา ?
A : โดยมาตราฐานแล้ว หมอจะแนะนำให้ฉีดโบลดริ้วรอยหลังผ่าตัด 3 เดือน เพื่อประเมินชั้นตาสุดท้าย และรอการหายของแผลผ่าตัด เพื่อไม่ให้รบกวนการกระจายของตัวยา ไปในตำแหน่งที่ใหม่เหมาะสม
Q : การแต่งหน้าหลังผ่าตัดถุงใต้ตาได้ไหม ?
A : หลังผ่าตัดตาสองชั้นในช่วง5-7วันแรก ยังไม่ควรแผลถูกน้ำจนกว่าจะตัดไหม (ยกเว้นน้ำจาก cold pack , ยาหยอดตา , และน้ำเกลือเช็ดแผล) ดังนั้นจึงยังไม่ควรแต่งหน้า เนื่องจากไม่สามารถล้างหน้าตามปกติได้ หลังตัดไหมประมาณ 1 วันและผิวด้านนอกติดดีแล้ว สามารถล้างหน้าได้ แต่ควรหลีกเหลี่ยงโฟมล้างหน้าที่ระคายเคืองผิว แต่ยังไม่ควรแต่งหน้าและกรีดตา อาจทารองพื้นบางๆได้จนครบ 2 สัปห์ดาแรกหลังผ่าตัด หลังจากสองสัปห์ดา สามารถแต่งหน้าและกรีดตาได้ตามปกติ
Q : การออกกำลังกาย หลังผ่าตัดถุงใต้ตาสามารถทำได้ไหม ?
A : สามารถเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ หลังผ่าตัด2สัปห์ดา สำหรับการออกกำลังกายหนัก แนะนำเริ่มหลังผ่าตัด 1 เดือน
Q : ใต้ตาดูบวม ใช่ถุงใต้ตาไหม ?
A : ถุงใต้ตาหย่อนคล้อยจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ถุงใต้ตาเทียม และถุงใต้ตาแท้ ซึ่งเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน จึงทำให้มี วิธีการรักษาที่แตกต่างกันตามไปด้วย ดังนี้
Q : สามารถลดถุงใต้ตาด้วยตนเองได้ไหม ถ้าไม่อยากผ่าตัด ?
A : ถุงบริเวณใต้ตาที่สามารถรักษาได้ด้วยตนเองก็คือ “ถุงใต้ตาเทียม” ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะเกิดจากการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ขยี้ตาบ่อย ๆ หรือใช้สายตาหนักเป็นประจำ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม และดูแลบำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีที่เหมาะสมจะช่วยให้อาการของถุงใต้ตาเทียมดีขึ้นได้ ดังนี้