รีวิว ถุงใต้ตา

เราเข้าใจปัญหาถุงใต้ตา ที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย

รีวิว ถุงใต้ตา

ร่องลึกคล้ำใต้ตา
ในคนอายุน้อย

รีวิว ถุงใต้ตา

ถุงใต้ตาเริ่มชัด
ในวัยกลางคน

รีวิว ถุงใต้ตา

ถุงใต้ตา ใบหน้าหย่อนคล้อย ต้องการเทคนิคการผ่าตัดพิเศษเพื่อแก้ปัญหา

รีวิว ถุงใต้ตา

ถุงใต้ตาผู้ชาย มีความแตกต่างต้องอาศัยเทคนิคการผ่าตัดโดยเฉพาะสำหรับผู้ชาย

“ดวงตาสดใส ใต้ตาเรียบเนียน
เราออกแบบให้ ในแบบที่เป็นคุณ ”

รีวิว ถุงใต้ตา

"ถุงใต้ตา" สัญญาณเตือนของความเสื่อมบนใบหน้า

บริเวณถุงใต้ตา หรือตาล่าง (Lower Eyelid) ถือว่าเป็นบริเวณสำคัญของใบหน้า เนื่องจากเป็นบริเวณแรกของใบหน้าที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะเป็นสัญญาณเตือนของความเสื่อมบนใบหน้านั้นเอง (Early Sign of Aging Face) ถุงใต้ตา (Eyebags) เป็นหนึ่งในอาการแสดงความเสื่อมของตาล่างและแก้ม (Lower Eyelid & Midface Aging Process) เวลาเรามีถุงใต้ตาจะทำให้แลดูเหนื่อยล้า (Tired Look) , เศร้าหมอง (Sad Look) และมองเห็นรอยต่อระหว่างบริเวณใต้ตาและแก้มชัดเจนขึ้น (Elongation Of Lid-Cheek Junction) ยิ่งทำให้ใบหน้าแลดูมีอายุมากขึ้น

บางคนมีถุงใต้ตาร่วมกับภาวะกล้ามเนื้อใต้ตาโต (Pretarsal Orbicularis Oculi Hypertrophy) หรือ ทำ Dolly Eye มาก่อน จะทำให้มองเห็นบริเวณใต้ตาเป็น 2 ลอน (Double Contour) เนื่องจากมีการหย่อนคล้อยของถุงใต้ตา (Orbital Septum) จะทำให้ไขมันใต้ตา (Infraorbital Fat) โป่งพองออกมาให้เห็นเป็นถุงยิ่งถุงไขมันมีขนาดใหญ่ ก็จะทำให้เห็นเงา (Shadow) บริเวณใต้ถุงชัดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดรอยดำคล้ำรอบดวงตา (Dark Circle) ในกรณีดังกล่าว ก็จะยิ่งทำให้เราแลดูสูงวัย และรู้สึกแย่ลงไปอีก จนขาดความมั่นใจได้ บางครั้ง Make up กลบไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาเรานอนดึกเป็นประจำ , เวลายุ่งกับงานและเครียดหนัก ๆ ติดต่อกัน ถึงแม้ว่าเวลายิ้มแก้มเราจะยกขึ้น และทำให้ดูดีขึ้นก็ตาม

ดังนั้นก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจโครงสร้างของเปลือกตาล่างกันนะครับ ซึ่งเปลือกตาล่างจะมีโครงสร้างแตกต่างจากเปลือกตาบนคนค่อนข้างมาก รวมถึงการทำงานที่ต่างกัน ทำให้การผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา ที่เปลือกตาล่าง จึงมีความแตกต่าง และในบางครั้งการผ่าตัดแก้ไขโดยการนำไขมันตาล่างที่นูนออก ยังได้ผลลัพธ์ที่ไม่เพียงพอ รวมถึงความเข้าใจผิด ที่ต้องตัดผิวหนังตาล่างออกเยอะ ในเคสที่มีเปลือกตาล่างหย่อนคล้อย ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น ตาปลิ้น หลับตาไม่สนิท

"ถุงใต้ตาหรือตาล่าง"
สภาวะปกติ VS ภาวะที่มีความเสื่อม ?

ภาวะปกติของบริเวณใต้ตา (Normal Undereye Area)

  1. ผิวหนังใต้ตาเรียบเนียน
  2. ไม่มีริ้วรอย (Wrinkle)
  3. ไม่มีถุงใต้ตา (Eyebags)
  4. ไม่มีร่องใต้ตา หรือมีเล็กน้อย (Tear Trough)
  5. บริเวณใต้ตา (lower eyelid) จะกลมกลืนกับแก้ม (Cheek) โดยไรร้อยต่อ (Obvious Lid – Cheek Junction)

ภาวะที่มีความเสื่อมของบริเวณใต้ตาและแก้ม (Aging Lower Eyelid & Midface)

  • มีถุงใต้ตา (Eyebags)
  • ร่องใต้ตา (Tear Trough Deformity)
  • รอยคล้ำใต้ตา (Dark Circle)
  • ผิวหนังใต้ตาเหี่ยวย่นและมีริ้วรอย (Skin Redundancy / Wrinkle / Furrow)
  • ร่องใต้ตายาวลงมาจนถึงบริเวณแก้ม (Mid cheek Groove / Indian Band)
  • ขอบตาล่างหย่อน (Lid laxity)
  • ขอบตาล่างรั้งและปลิ้น (Lid Retraction / Ectropion)
  • มองเห็นตาขาว (Scleral Show) ซึ่งในภาวะปกติคนเราจะมองไม่เห็นตาขาวบริเวณใต้ตาลูกตาดำ
  • ใต้ตาโบ๋หรือบางครั้งเห็นแนวของกระดูกของเบ้าตา (Infraorbital Hollowness)
  • กระดูกแก้มยุบตัวลง ( Malar / Maxilla Hypoplasia)
  • บางครั้งจะเห็นรอยต่อของบริเวณใต้ตาและแก้มชัดเจนขึ้น (Elongation Of Lid-Cheek Junction)
  • มีร่องแก้มลึกและเห็นชัดขึ้น (Deepen Nasolabial Fold)

เข้าใจเรื่อง ถุงใต้ตา
ฉบับรวบรัด เข้าใจง่าย

ถุงไขมันใต้ตา ส่งผลให้เกิดอะไรบ้าง ?

ถุงไขมันใต้ตาที่ถูกดันนูนออกมานี้จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ถุงใต้ตา (Eye bags)” มีลักษณะเป็นผิวหนังบริเวณใต้ตาหย่อนคล้อย มีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด หรือทำให้เปลือกตาด้านล่างดูบวม หรือนูน ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนล้า ไม่สดใส และแก่กว่าวัย ซึ่งภาวะดังกล่าวเป็นปัญหาที่สามารถพบได้ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

ไขมันใต้ตาเกิดจากอะไร ?

จริง ๆ แล้ว ไขมันบริเวณใต้ตาเป็นองค์ประกอบหลักที่มีอยู่ในเบ้าตาอยู่แล้ว ทำหน้าที่ช่วยรองรับลูกตาและป้องกันลูกตาจากการกระทบ กระเทือน เราเรียกไขมันเหล่านี้ว่า “ถุงไขมัน” ซึ่งมีทั้งบริเวณเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทำให้ถุงไขมันที่หลบอยู่ใต้ผิวหนังถูกดันนูนออกมาจนมองเห็นได้ชัดเจนนั่นเอง

สาเหตุของการเกิดถุงใต้ตา ?

จริง ๆ แล้ว ไขมันบริเวณใต้ตาเป็นองค์ประกอบหลักที่มีอยู่ในเบ้าตาอยู่แล้ว ทำหน้าที่ช่วยรองรับลูกตาและป้องกันลูกตาจากการกระทบ กระเทือน เราเรียกไขมันเหล่านี้ว่า “ถุงไขมัน” ซึ่งมีทั้งบริเวณเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทำให้ถุงไขมันที่หลบอยู่ใต้ผิวหนังถูกดันนูนออกมาจนมองเห็นได้ชัดเจนนั่นเอง

สาเหตุที่ 1 การหย่อนของถุงหุ้มไขมันใต้ตา (Herniated Orbital Septum)

เกิดจากตัวถุงหุ้มของไขมัน ใต้ตามีการหย่อนยานนะครับในส่วนของสาเหตุที่เกิดการหย่อนยาน ก็มักจะเกิดจากอายุที่มากขึ้น เกิดจากบางคนที่มีความเครียดสะสม ไม่ได้พักผ่อน ใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเปลืองมากเกินไป นอนดึก เป็นต้น ก็จะทำให้ถุงไขมันใต้ตาหย่อน พอหย่อนยาน ไขมัน ที่มีอยู่เท่าเดิมก็จะป่องปูดออกมา ทำให้มีเห็นเป็นถุงชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาเราเครียดหรือว่านอนดึก เป็นต้น

รีวิว ถุงใต้ตา

สาเหตุที่ 2 โครงสร้างของกระดูก บริเวณขอบตาล่างยุบตัวลง (Flat/Negative Vector Midface)

เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับตัวถุงของไขมันใต้ตาเลย แต่อาจจะเกิดจากโครงสร้างที่อยู่รอบๆ โดยเฉพาะบริเวณใต้เบ้าตาตรงนี้ หมอยกตัวอย่าง เช่น อาจจะเกิดจากโครงสร้างของกระดูกตรงส่วนแก้มด้านหน้ามีการยุบตัวลงไป บางครั้งอาจจะเกิดจากหน้าแบนหรือยุบตั้งแต่กำเนิด หรือบางคนอาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือว่ามีการผ่าตัดทำให้กระดูกตรงนี้มีการยุบตัวลง ถุงใต้ตาที่มีอยู่เท่าเดิมก็จะมองเห็นชัดขึ้น เป็นต้น

รีวิว ถุงใต้ตา

"ปัจจัยที่ต้องดูก่อนเลือกเทคนิคการแก้ไขปัญหาของถุงใต้ตา"
(Lower Eyelid-Cheek Junction Rejuvenation)

วิธีการแก้ไขมีหลายวิธีโดยแพทย์จะพิจารณาตามปัจจัยหลายๆ อย่าง ได้แก่

รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา

ปัญหา"ถุงใต้ตา"และโหนกแก้มที่พบบ่อย

  1. กรณีที่มีหนังส่วนเกิน หรือมีรอยย่นใต้ตา (Static & Fine Wrinkle / Skin Redundancy) การแก้ไขคือ การผ่าตัดหนังส่วนเกินออก (Skin Excision)
  2. กรณีที่มีริ้วรอยใต้ตาที่เห็นชัดเวลาแสดงสีหน้า เช่น เวลายิ้ม (Dynamic Wrinkle) การแก้ไขคือ การฉีดชีวพิษโบทูลินัม เพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตา (Orbicularis Oculi) เป็นครั้งคราว (ทุก 4-6 เดือน)
  3. กรณีที่มีปัญหาร่องใต้ตา (Tear Trough deformities) การแก้ไข สามารทำได้หลายวิธีเช่น การฉีด Filler การเติมเต็มไขมัน (Fat Graft) การย้ายถุงไขมนั ใต้ตา (Orbital Fat Repositioning)
  4. กรณีที่มีร่องแก้มชัด (Deep nasolabial fold) มีทางเลือก 2 วิธี ตามความลึกของร่องแก้มและปัญหาที่พบร่วมด้วย ได้แก่ การฉีด Filler หรือ Fat Graft การดึงร่องแก้ม (Midface Lift Surgery) ผ่านแผลบริเวณใต้ตา (Subciliary Approach) หรือผ่านแผลบริเวณขมับ(Transtemporal Approach)
  5. กรณีมีปัญหาถุงใต้ตา (Eyebags) จะมีเทคนิคการผ่านตัดแตกต่างกันในปัญหาของแต่ละเคส หรือในบางรายที่ไม่พร้อมผ่าตัดการฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
รีวิว ถุงใต้ตา

"การแก้ไขถุงใต้ตา" มีวิธีไหนบ้าง ?
Eyebag Removal

ก่อนหน้านี้หมอได้อธิบายถึงปัญหาของถุงใต้ตา (Eye Bags) สาเหตุของการเกิดถุงใต้ตาไปแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็คง อยากจะทราบวิธีการแก้ไขปัญหาหรือว่าบอกลาถุงใต้ตากันแล้วนะครับ สำหรับวิธีแก้ไขถุงใต้ตาจะแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ คือ

1. Camouflage Filling หรือการฉีดสารเติมเต็ม

การฉีดสารเติมเต็มบริเวณรอบ ๆ ถุงใต้ตากลบให้แลดูเรียบเนียน ในกรณีที่มีถุงใต้ตาน้อย ไม่เด่นชัดมาก สามารถรักษาได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็มกลบใต้ตา (Camouflage Filling ) คือการฉีดสารเติมเต็มบริเวณรอบ ๆ ถุงใต้ตากลบให้แลดูเรียบเนียน เพื่อช่วยให้ถุงใต้ตาดูตื้นขึ้น วิธีนี้เป็นวิธีที่เราไม่ได้ไปยุ่งกับถุงใต้ตาเลย เพียงแต่เราฉีดสารเติมเต็มเข้าไปบริเวณใต้ หรือรอบ ๆ ถุงใต้ตา โดยสารเติมเต็มที่นิยมในปัจจุบัน จะแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ฟิลเลอร์และไขมันตัวเอง

  • ฟิลเลอร์ (Filler) 
    ฟิลเลอร์ (Filler) – ในปัจจุบันมักเป็นสารชนิด Hyaluron ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ทางการแพทย์นะครับ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสะดวก ไม่ต้องการพักฟื้น และยอมรับสารสังเคราะห์ทางการแพทย์ได้ และก็คำถามที่คนไข้ถามหมอมากเลยนะ ว่าคุณหมอฉีดแล้ว เนี่ยจะอยู่ได้นานแค่ไหน อันนี้หมอก็จะตอบไปเลยนะครับว่า ขึ้นอยู่กับขนาดโมเลกุลนะครับ และก็เทคโนโลยีในการผลิตของแต่ละบริษัท แต่ละยี่ห้อนะครับ ว่าเป็นอย่างไรบ้างนะครับโดยปกติ Filler หรือว่า Hyaluron ที่มีขนาดเล็ก ก็จะดูเรียบเนียนนะครับ แต่ก็จะอยู่ได้สั้นนะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือนนะครับ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นโมเลกุลที่ขนาดใหญ่ ก็จะอยู่ได้นานขึ้น แต่ยังไงก็ตามถ้าเป็นขนาดใหญ่อาจจะทำให้ดูเป็นก้อนมากขึ้น
     
รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา
  • การเติมไขมันตัวเอง (Autologous Fat Graft Rejuvenation)
    สำหรับคนที่ชอบสารธรรมชาติและของตัวเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องสิ่งแปลกปลอม ซึ่งบริเวณใต้ตาส่วนใหญ่แล้ว แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญจะเลือกไขมันที่เตรียมแบบพิเศษ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Nano Fat Graft โดยแพทย์จะใช้การดูดไขมันบริเวณที่มีเซลล์มากอย่าง เช่น บริเวณท้องน้อย ต้นขา หรือว่า ขาด้านใน เป็นต้น มาผ่านกระบวนการพิเศษเพื่อทำให้โมเลกุลมันเล็กลง เพื่อให้ได้เซลล์ที่มากขึ้น ก็จะได้ผลดีที่มากขึ้นและการฉีดเรียบเนียนมากกว่าเทคนิคปกติ สิ่งที่หมอชอบสำหรับการเติมไขมันหรือว่าฉีดไขมัน ก็คือ มีโอกาสอยู่ ได้ตลอดไปนะ ถึงแม้ว่าบางส่วนจะตายไปบ้างนะครับ เนื่องจากถ้าไขมัน ที่เติมเข้าไปสามารถเกิดการ Take Graft อย่างสมบูรณ์ หรือการที่บริเวณที่เติมไขมัน ใบหน้าเรามีการสร้างเส้นเลือดใหม่ เข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ไขมัน ได้อย่างสมบูรณ์ โอกาสที่เซลล์ไขมัน จะแข็งแรงและติดอยู่ตลอดก็จะมีสูงนะครับ และที่สำคัญ คือเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบของปลอมหรือสารสังเคราะห์ ชอบการฉีดที่เป็นธรรมชาตินะครับ

รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา

2. Eyebags Surgery ผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา

วิธีนี้หมอจะต้องเข้าไปผ่าตัดถุงใต้ตาโดยตรงนะครับ โดยปกติแล้วจะมีวิธีการผ่าตัดอยู่ 2 วิธี นะครับ ตามความเหมาะสมของคนไข้แต่ละรายนะครับ

กรณีปริมาณถุงใต้ตามาก ในกรณีที่มีไขมันบริเวณใต้ตาปริมาณมากจนทำให้มีถุงที่ใต้ตามากตามไปด้วย สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด เอาไขมันถุงใต้ตาออก (Eye Bags Removal) หรือใช้เทคนิคใหม่อย่างการย้ายถุงไขมัน ที่ใต้ตาไปกลบบริเวณที่เป็นร่องใต้ตา (Orbital Fat Repositioning) มีรายละเอียด ดังนี้

การผ่าตัดถุงใต้ตาวิธีที่ 1 การตัดไขมันออก
  • การผ่าตัดถุงไขมันออก (Eye Bags Removal)
    วิธีแรกเลยตรงไปตรงมาเลยนะครับ ถุงใต้ตาที่ใหญ่มากเกินไปหมอก็จะตัดออก (Intraorbifat Removal Surgery) โดยอาจจะตัดผ่านการเปิดแผลในเปลือกตา หรือผ่าตัดผ่านแผลนอกใต้ขอบตาล่างประมาณ 2 มม. ซึ่งถุงไขมันใต้ตานี้จะแตกต่างจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังของเรา ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมการกิน และการออกกำลังกายเป็นหลัก แต่สำหรับถุงไขมันถุงใต้ตาถือเป็นไขมันชั้นลึก จะไม่สามารถดูดไขมันออกได้เหมือนไขมันชั้นตื้น หรือไขมันใต้ผิวหนังบริเวณอื่นๆ ของใบหน้า
การผ่าตัดถุงใต้ตาวิธีที่ 2 การย้ายไขมัน
  • การย้ายถุงไขมันใต้ตา ไปคลุมบริเวณรอยใต้ตาโดยไม่ต้องตัดออก (Orbital Fat Repositioning)
    เป็นอีกวิธีที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน และเหมาะสำหรับคนที่มีกระดูกแก้มยุบตัว ก็คือ การย้ายเอาถงไขมันใต้ตามาวางบนกระดูกขอบตาล่าง (Intraorbifat transposition Surgery) หรือบริเวณรอยต่อระหว่างขอบตาล่างกับแก้มที่มีการยุบตัวลง (Orbital Fat Repositioning Technique) เทคนิคนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน คือ ได้ทั้งลดขนาดถุงใต้ตาออก และได้การเติมไขมันบริเวณรอยต่อของขอบตาล่ากับแก้มอีกด้วย

    แต่ในกรณีที่มีการยุบตัวของแก้มและขอบตาล่างมาก ถุงไขมันที่ย้ายมาอาจไม่เพียงพอ แพทย์อาจพิจารณาเติมไขมัน (Fat Graft) จากบริเวณอื่น ๆ เพื่อนำมาเติมเพิ่มให้เรียบเนียน มีมิติสมบูรณ์มากขึ้น วิธีนี้นอกจากแพทย์จะแก้ปัญหา

    เรื่อง ถุงใต้ตาได้แล้ว ยังสามารถที่จะแก้ปัญหาร่องใต้ตาที่ดูโบ๋ลึกได้อีกด้วย

ผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตาเปิดแผลบริเวณไหนได้บ้าง ?
Surgical Approach Methods

ผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา เปิดแผลด้านในตา(Subconjunctival lower blebpharoplasty)

ผ่านแผลด้านใน ทำให้ไม่เห็นรอยแผลด้านนอก เหมาะสำหรับ การผ่าตัด ที่ถุงใต้ตาอย่างเดียว เหมาะสำหรับ ในกรณีที่คนไข้ต้องการกำจัด หรือบอกลาแค่ไขมันที่ทำให้เกิดถุงใต้ตา โดยหมอก็จะผ่าตัดเอาไขมัน ใต้ตาส่วนเกินออกผ่านแผลด้านในเปลือกตาล่าง โดยที่ไม่มีแผลภายนอกให้เห็น

รีวิว ถุงใต้ตา

ตัวอย่างเคสผ่าตัด - เปิดแผลด้านในตา

รีวิว ถุงใต้ตา

ผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา เปิดแผลด้านนอก (Subciliary lower blebpharoplasty)

ผ่านแผลด้านนอก (Subciliary lower blebpharoplasty) เทคนิคแผลแบบนี้แพทย์มักเลือกในคนที่ใต้ตามีหนังส่วนเกิน หรือมีรอยย่นใต้ตาค่อนข้างเยอะ หรือในเคสที่ต้องการที่จะผ่าตัดดึงร่องแก้มร่วมด้วยนะครับ

ในกรณีแบบนี้หมอจำเป็นจะต้องผ่าตัดจากแผลภายนอกนะ โดยปกติแผลจะอยู่บริเวณใต้ตานะครับ ห่างจากขอบตาล่าง ประมาน 2 มิลลิเมตร ซึ่งทุกคนไม่กังวลเรื่องรอยแผล เนื่องจากโดยปกติแล้วแผลจะค่อย ๆ หายไปในที่สุด

ในบางกรณีแพทย์จะพิจารณาเอาไขมันถุงใต้ตาออกเพื่อปรับพื้นที่ให้เรียบแล้วค่อยเติมเต็ม (Retouch) ด้วยไขมัน (Nano Fat Graft) ให้ดูเรียบเนียนมีมิติที่สมดุลย์กับแก้มทันทีหลังผ่าตัด หรือรอ 1-3 เดือน หลังผ่าตัด

รีวิว ถุงใต้ตา

ตัวอย่างเคสผ่าตัด - เปิดแผลด้านนอกขอบตา 2 มม.

รีวิว ถุงใต้ตา

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ
"ถุงใต้ตา"

ในบางครั้ง หนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าตนเองมีไขมันบริเวณใต้ตามาก จนทำให้เกิดถุงใต้ตาแต่จริง ๆ แล้ว ถุงใต้ตาเหล่านี้เป็นเพียงถุงใต้ตาเทียมเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การนอนดึกมาก อาการภูมิแพ้เยื่อบุตา เยื่อบุจมูก หรือชอบขยี้ตาเป็นประจำ ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดบริเวณถุงใต้ตาขยายตัวขึ้น ทำให้มองเห็นเหมือนเป็นถุงใต้ตานั้นเอง ถ้าหากเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม และรักษาสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดบริเวณถุงใต้ตาขยายตัวได้ก็จะช่วยให้สามารถลดถุงใต้ตาที่เรามองเห็นนี้ ให้ดีขึ้นได้นั่นเอง

การจัดเรียงไขมันใต้ตา
อยู่ได้นานไหม ?

ผลลัพธ์ของการผ่าตัดถุงไขมันออก การผ่าตัดย้ายไขมันรวมถึงการจัดเรียงไขมันบริเวณใต้ตาใหม่ จะขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกายของแต่ละคน โดยปกติแล้วจะสามารถอยู่ได้นานหลายสิบปี แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป ความกระชับของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ดวงตาก็อาจเสื่อมลง และทำให้กลับมามีถุงใต้ตาได้ใหม่เช่นกัน

ไขมันถุงใต้ตาดูดออกได้ไหม ?

ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจก่อนว่าไขมันบริเวณใบหน้าของเรา จะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  • ไขมันชั้นตื้น จะอยู่บริเวณใต้ผิวหนังของเรา(subcutaneous fat) ซึ่งเป็นชั้นไขมันที่เปลี่ยนแปลงตามน้ำหนักตัวเรา และการออกกำลังกาย การลดไขมันบริเมณนี้จะเลือกใช้วิธีดูดไขมันออก ฉีดเมโสแฟต หรือ ทำ thermage ได้
  • ไขมันชั้นลึก เช่น ไขมันกระพุ้งแก้ม ไขมันเบ้าตา ไขมันบริเวณนี้ จะเปลี่ยนแปลงตามน้ำหนักตัว หรือการออกกำลังกาย และเป็นไขมันที่อยู่ในโครงสร้างชั้นลึก ใกล้เส้นเลือดและเส้นประสาท หรืออยู่ในเบ้าลูกตา ทำให้การดูดไขมัน บริเวณ สามารถก็ให้เกิดอันตรายจากท่อดูดไขมัน และบาดเจ็บลูกตาได้ ดังนั้นไขมันใต้ตา เราจะนำออกมาโดยการผ่าตัด ในบางกรณีที่ต้องการนำถุงไขมันใต้ตาออกเพียงอย่างเดียว อาจลงแผลขนาดเล็ก ๆ ที่เปลือกตาล่าง แล้วนำไขมันที่ปลิ้นออก ซึ่งในบางครั้ง อาจเรียกวิธีดูดไขมันใต้ตาได้ แต่จะแตกต่างจากการดูดไขมันบริเวณอื่นๆของใบหน้าที่ใช้ท่อดูดไขมัน ในการนำไขมันส่วนเกินออกมา

การย้ายถุงไขมันใต้ตาทำได้อย่างไร ?

  • การย้ายถุงไขมันใต้ตา ไปคลุมบริเวณรอยใต้ตาโดยไม่ต้องตัดออก (Orbital Fat Repositioning)
    เป็นอีกวิธีที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน และเหมาะสำหรับคนที่มีกระดูกแก้มยุบตัว ก็คือ การย้ายเอาถงไขมันใต้ตามาวางบนกระดูกขอบตาล่าง (Intraorbifat transposition Surgery) หรือบริเวณรอยต่อระหว่างขอบตาล่างกับแก้มที่มีการยุบตัวลง (Orbital Fat Repositioning Technique) เทคนิคนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน คือ ได้ทั้งลดขนาดถุงใต้ตาออก และได้การเติมไขมันบริเวณรอยต่อของขอบตาล่ากับแก้มอีกด้วย

    แต่ในกรณีที่มีการยุบตัวของแก้มและขอบตาล่างมาก ถุงไขมันที่ย้ายมาอาจไม่เพียงพอ แพทย์อาจพิจารณาเติมไขมัน (Fat Graft) จากบริเวณอื่น ๆ เพื่อนำมาเติมเพิ่มให้เรียบเนียน มีมิติสมบูรณ์มากขึ้น วิธีนี้นอกจากแพทย์จะแก้ปัญหาเรื่อง ถุงใต้ตาได้แล้ว ยังสามารถที่จะแก้ปัญหาร่องใต้ตาที่ดูโบ๋ลึกได้อีกด้วย

รีวิว ถุงใต้ตา

ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูล ก่อนตัดสันใจทำศัลยกรรมถุงใต้ตา

สำหรับหมอแล้วก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงใต้ตา คนไข้ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจและประเมินอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้แพทย์ตัดสินใจเลือกเทคนิคผ่าตัดที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละรายมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผลของการผ่าตัดเป็นที่พอใจของแต่ละคนและที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัยและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนให้ได้มากที่สุด

ซึ่งสาเหตุที่ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม เพราะการศัลยกรรมถุงบริเวณใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหนังตาล่าง หรือเก็บถุงใต้ตา หากวางแผนการรักษาได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอาการตาแหก ตาปลิ้นได้ ผลเสียที่ตามมาก็คือ ทำให้เกิดความผิดหวังเสียบุคลิกภาพ และความมั่นใจ นอกจากนี้ยัง ส่งผลต่อสุขภาพดวงตา ไม่ว่าจะเป็นอาการตาแห้ง (Dry eyes) ที่นำไปสู่การเกิดแผลที่กระจกตา (Corneal ulcer) การที่เราศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถุงใต้ตาอย่างละเอียด และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง ก็จะช่วยให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้นั่นเอง สำหรับใครที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถกดดูคลิปวิดีโอสิ่งที่ควรรู้ก่อนผ่าตัดถุงใต้ตา / เก็บรอยย่นหนังตาล่าง จากหมอกรที่ด้านล่างนี้ได้เลย

ภาวะเสี่ยงหลังผ่าตัดถุงใต้ตา ตาปลิ้น หรือตาแหก
คืออะไร ? อันตรายไหม ?

ภาวะเปลือกตาล่างและ หรือที่บางคนเรียกว่า ตาปลิ้นหรือตาแหก เป็นลักษณะของขอบเปลือกตาที่ม้วนออกด้าน นอก ไม่แนบชิดอยู่กับผนังลูกตาตามปกติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความหย่อนคล้อยของโครงสร้างเปลือกตาตามวัย , เกิดการการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อรอบดวงตา , มีการดึงรั้งจากก้อนเนื้อที่อยู่บริเวณขอบเปลือกตาด้านนอก หรือการดึงรั้งจากแผลผ่าตัด เป็นต้น หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย หลังจากการผ่าตัดถุงใต้ตา คือ ภาวะเปลือกตาและนี่เอง กลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

 

ความเสี่ยงจากตัวของผู้ป่วยเอง ได้แก่

  1. ผู้สูงอายุ เนื่องจากโครงสร้างความแข็งแรงเปลือกตาไม่แข็งแรง มีความหย่อนคล้อยมาก
    ผู้ที่มีโครงกระดูกเบ้าตาตํ่า
  2. ผู้ที่ชอบถูขยี้เปลือกตา ทำให้เปลือกตายืด และเกิดรอยย่นความคลํ้าจากการเสียดสีด้วยการขยี้แรง ๆ เป็นประจำร่วมด้วยได้
  3. ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ มาเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากการดึงเปลือกตาซํ้า ๆ ทำให้เปลือกตายืด หย่อนไม่แข็งแรงได้
  4. มีประวัติอุบัติเหตุที่เปลือกตามาก่อน เนื่องจากอาจมีกระดูกเบ้าตาแตกผิดรูปอยู่เดิม หรือมีแผลเป็นดึงรั้งบริเวณเปลือกตาล่างได้
  5. มีประวัติเคยผ่าตัดเปลือกตามาก่อน หรือเคยได้รับการฉีดสารหรือสิ่งแปลกปลอมบริเวณเปลือกตาล่างมา ก่อน เพราะมีโอกาสเกิดผังผืด ทำให้การผ่าตัดอาจซับซ้อนขึ้น การหายของแผลช้ากว่าปกติ

 

ความเสี่ยงจากการผ่าตัด

  1. การผ่าตัดถุงใต้ตาที่มีการตัดหนังส่วนเกินออกมากจนเกินไป
  2. การผ่าตัดลงแผลผ่านผิวหนังและมีการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อรอบดวงตา ซึ่งทำหน้าที่ในการหลับตาและเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแรงของโครงสร้างเปลือกตา
รีวิว ถุงใต้ตา

เราจะรู้ได้ยังไง ว่าเราเสี่ยงต่อ
การเกิดภาวะตาแหกหลังผ่าตัดถุงใต้ตา ?

การตรวจประเมินความแข็งแรงของเปลือกตา

  • ตรวจความหย่อนคล้อยของเปลือกตา

แนวนอน ( horizontal lid laxity test) ทำได้ 2 วิธี ได้แก่ Canthal tendon laxity test, Eyelid Distraction test

แนวตั้ง (vertical lid laxity test) โดยการตรวจ Eyelid Snap back test

  • ตรวจการทำงานและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบดวงตา โดยการให้คนไข้หลับตาปกติและพยายามหลับแน่น ซึ่งหากกล้ามเนื้อรอบดวงตาทำงาน ปกติคนไข้จะหลับตาได้สนิทดี และเวลาที่หลับตาแน่น ถ้ากล้ามเนื้อแข็งแรงดีคนไข้ก็จะสามารถบีบเพื่อหลับตาได้แน่น หากคนไข้หลับตาไม่สนิท หรือบีบตาได้ไม่ดี อาจต้องตรวจหาโรคร่วมอื่น ๆ เช่น การทำงานของเส้นประสาทใบหน้าเสีย (facial nerve palsy) ซึ่งคนไข้จะมี ลักษณะของใบหน้าเบี้ยงมุมปาก และคิ้วตกร่วงด้วย นอกจากนี้ในผู้สูงอายุมักจะพบว่าการบีบตัวของกล้ามเนื้อรอบดวงตามักจะไม่ดีเช่นกัน

การตรวจระดับโครงกระดูกเบ้าตา (orbital vectors)

เป็นการประเมินระดับความสูงของกระดูกเบ้าตา (maxillary bone) เทียบกับระดับความโค้งของกระจกตา (corena) ทำโดยให้คนไข้นั่งศีรษะตรงและมองตรงไปด้านหน้า และผู้ประเมินจะดูด้านข้าง (sagital view) กรณีที่กระดูเบ้าตาตํ่า = negative vector ตามรูป คือ ระดับกระจกตาจะอยู่หน้าต่อขอบกระดูกเบ้าตา คนไข้กลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนเปลือกตาแบะปลิ้น (lower lid ectropion) หรือเปลือกตาหดรั้ง (lower lid retraction) หลังทำการผ่าตัดถุงใต้ตาได้เรา

รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา

เราจะมีเทคนิคการผ่าตัดอย่างไร
ที่จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนตาแหก

เมื่อได้รับการตรวจอย่างละเอียด แพทย์จะทราบถึงปัญหาและข้อจำกัดของคนไข้แต่ละราย ทำให้การเลือกเทคนิค การผ่าตัดสำหรับคนไข้แต่ล่ะรายแตกต่างกันไปสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างเปลือกตาไม่แข็งแรง มีความเสี่ยงของการเปิดเปลือกตาแบะ ปลิ้นหรือแหก ไม่ควรตัดผิวหนังบริเวณใต้ตาออกมากจนเกินไป (conservative skin removal) ควรได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ , หลีกเลี่ยงการลงแผลผ่าตัดผ่านผิวหนังทางด้านนอก เพื่อลดโอกาสการเกิดแผลดึงรั้ง เปลือกตาให้แบะออก

หากคนไข้มีกล้ามเนื้อรอบดวงตาไม่แข็งแรง ก็ไม่ควรลงแผลผ่าตัดผ่านผิวหนังเช่นกัน เนื่องจากจะมีความเสี่ยง ให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อรอบดวงตา และไม่ควรตัดกล้ามเนื้อรอบดวงตาออก นอกจากนี้แพทย์จะพิจารณาให้ผ่าตัดขึงใต้ตาเพิ่มด้วย เพื่อให้หนังตาล่างตึงโดยจะเป็นการผ่าตัดขึงขอบหนังตาล่างกับกระดูกขอบตาด้านหน้า เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างตาแหก ตาปลิ้น

กรณีที่มีกระดูเบ้าตาตํ่า หรือกระดูกเบ้าตาทรุด ก็เป็นความเสี่ยงของการเกิดภาวะเปลือกตาแบะ หรือเปลือกตา หดรั้งเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรทำการผ่าตัดด้วยการลงแผลผ่านผิวหนัง หรือพูดง่าย ๆ คือ คนไข้ที่มีความเสี่ยงตามที่กล่าวไปข้างต้น ควรพิจารณาการผ่าตัดด้วยเทคนิคการผ่าตัดถุงใต้ตาแผลใน หรือการผ่าตัดผ่านเยื่อบุผิวตานั่นเอง (lower blepharoplasty trans conjunctival approach) นอกจากนี้แล้ว ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ในระหว่างการผ่าตัดที่สำคัญ เช่น ไม่ควรจี้เยอะจนเกินไป (minimize cauterization) เพื่อลดโอกาสการเกิดผังผืดที่เปลือกตา เป็นต้น

การหายของแผล
ผ่าตัดถุงใต้ตา

โดยทั่วไปอาการบวมหลังผ่าตัดจะเป็นมากในช่วง 48 ชั่วโมงแรก อาการบวมนี้จะแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดว่าทำมากทำน้อย เคสผ่าตัดครั้งแรกหรือเคสแก้ไข ลักษณะผิวของ แต่ละคน ประมาณวันที่ 5-7 หลังผ่าตัด หมอจะนัดมาประเมิณแผลและทำการตัดไหม หลังตัดไหม 24 ชั่วโมง สามารถล้างหน้าได้ตามปกติอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ประมาณ2สัปห์ดา อาการบวมจะลดลงค่อนข้างมาก หนึ่งเดือนหลังผ่าตัด ผลลัพธ์จะเข้าที่ประมาณ 50% สามเดือนหลังผ่าตัดประมาณ 80% และหลังผ่าตัด 6 -12 เดือน ผลลัพธ์จะเข้าที่เต็มที่

รีวิว ถุงใต้ตา
รีวิว ถุงใต้ตา

การดูแลตัวเองหลัง
ผ่าตัดถุงใต้ตา

การดูแลแผลทั่วไป

  1. ใน 7 วันแรก หลังผ่าตัดควรนอนศีรษะสูง 30 องศาเพื่อลดอาการบวม
  2. ให้นอนหงาย (หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือนอนตะแคง) โดยเฉพาะใน 2 สัปดาห์แรกและควรนอนหงายทุกคืน เป็นเวลา 1 เดือน
  3. งดรับประทานอาหารที่มีรสจัด , ของเผ็ด , ของร้อน , เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ , ชา ,กาแฟและการตากแดดจัด 1 สัปดาห์
  4. ใน 2 สัปดาห์แรก ห้ามขยี้ตาเป็นอันขาด
  5. งดการใช้คอนแทคเลนส์เป็นเวลา 1 เดือน
  6. งดการใช้แว่นตาสำหรับว่ายน้ำเป็นเวลา 2 เดือน
  7. งดออกกำลังกายอย่างหนัก , ซาวน่า และนวดบริเวณผ่าตัด 1 เดือน
  8. งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 เดือน เนื่องจากบุหรี่ทำให้แผลหายช้า ติดยาก และทำให้โอกาสของการเกิดแผลเป็นมากขึ้น

Review เคสคนไข้จริงผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา

รีวิวแก้ไขถุงใต้ตาอายุน้อย - คุณพลอย 1 รีวิว - คุณพลอย 2

ปัญหาถุงใต้ตาในคนอายุน้อย

ปัญหาเคสนี้ : 
ร่องลึกใต้ตา (Tear tough deformity) ร่วมกับมีถุงไขมันใต้ตา

 

เทคนิคการผ่าตัดสำหรับเคสนี้

  • แผลซ่อนในเปลือกตา
  • นำถุงไขมันใต้ตาที่ปลิ้นออก
  • เติมไขมันใต้ตา (Microfat and Advanced Nanofatgraft)
  • ปรับแต่งแก้ม และโหนกแก้มด้วยไขมันตนเอง
รีวิวแก้ไขถุงใต้ตา - คุณดาว 1 รีวิว - คุณดาว 2

ปัญหาถุงใต้ตาในวัยกลางคน

ปัญหาเคสนี้ :
ร่องลึกใต้ตา (Tear tough deformity) ร่วมกับมีถุงไขมันใต้ตา มีผิวส่วนเกินใต้ตาเล็กน้อย

 

เทคนิคการผ่าตัดสำหรับเคสนี้

  • นำถุงไขมันใต้ตาที่ปลิ้นออกจากแผลซ่อนในเปลือกตา
  • ตัดผิวหนังส่วนเกินด้านนอก (ไม่รบกวนกล้ามเนื้อในการหลับตา)
  • เติมไขมันใต้ตา (Microfat and Advanced Nanofat graft)
  • ปรับแต่งแก้ม และโหนกแก้มด้วยไขมันตนเอง
รีวิว - คุณสุภัจนี 1 รีวิว - คุณสุภัจนี 2

ปัญหาถุงใต้ตาในผู้สูงวัย

ปัญหาเคสนี้ :
ร่องลึกใต้ตา (Tear toughdeformity) ร่วมกับมีถุงไขมันใต้ตาค่อนข้างชัด + ผิวหนังใต้ตาหย่อนและขอบตาล่างแบะออก

 

เทคนิคการผ่าตัดสำหรับเคสนี้

  • แผลด้านนอกใต้ขอบตา 2 มม
  • นำถุงไขมันใต้ตาที่ปลิ้นออก ตัดผิวหนังส่วนเกิน
  • ขึงเส้นเอ็นขอบตาล่างและขึงกล้ามเนื้อตาล่างป้องกันภาวะตาปลิ้น (Lateral canthopexy and OOM sling)
  • เติมไขมันใต้ตา (Microfat and Advanced Nanofat graft)
  • ปรับแต่งแก้ม และโหนกแก้มด้วยไขมันตนเอง

Q & A
ผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา

Q : หลังผ่าตัดใต้ตาสามารถฟิลเลอร์ได้ไหม ?

A : สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ นั้นสามารถทำได้ แต่ต้องรอให้กระบวนการหายของแผลหลังผ่าตัดสมบูรณ์ก่อน โดยปกติจะเริ่มฉีดได้ ตั้งแต่ 6 เดือนหลังผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ในเคสหลังผ่าตัด โครงสร้างของเปลือกตาล่างและโหนกแก้ม จะเปลี่ยนไปจากเดิม การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรทำด้วยความระมัดระวังอย่างมาก แนะนำให้ฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

 

Q : การฉีดสารโบทูลินัมท็อกซินลดริ้วรอยหางตาหลังผ่าตัดถุงใต้ตา ?

A : โดยมาตราฐานแล้ว หมอจะแนะนำให้ฉีดโบลดริ้วรอยหลังผ่าตัด 3 เดือน เพื่อประเมินชั้นตาสุดท้าย และรอการหายของแผลผ่าตัด เพื่อไม่ให้รบกวนการกระจายของตัวยา ไปในตำแหน่งที่ใหม่เหมาะสม

 

Q : การแต่งหน้าหลังผ่าตัดถุงใต้ตาได้ไหม ?

A : หลังผ่าตัดตาสองชั้นในช่วง5-7วันแรก ยังไม่ควรแผลถูกน้ำจนกว่าจะตัดไหม (ยกเว้นน้ำจาก cold pack , ยาหยอดตา , และน้ำเกลือเช็ดแผล) ดังนั้นจึงยังไม่ควรแต่งหน้า เนื่องจากไม่สามารถล้างหน้าตามปกติได้ หลังตัดไหมประมาณ 1 วันและผิวด้านนอกติดดีแล้ว สามารถล้างหน้าได้ แต่ควรหลีกเหลี่ยงโฟมล้างหน้าที่ระคายเคืองผิว แต่ยังไม่ควรแต่งหน้าและกรีดตา อาจทารองพื้นบางๆได้จนครบ 2 สัปห์ดาแรกหลังผ่าตัด หลังจากสองสัปห์ดา สามารถแต่งหน้าและกรีดตาได้ตามปกติ

 

Q : การออกกำลังกาย หลังผ่าตัดถุงใต้ตาสามารถทำได้ไหม ?

A : สามารถเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ หลังผ่าตัด2สัปห์ดา สำหรับการออกกำลังกายหนัก แนะนำเริ่มหลังผ่าตัด 1 เดือน

 

Q : ใต้ตาดูบวม ใช่ถุงใต้ตาไหม ?

A : ถุงใต้ตาหย่อนคล้อยจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ถุงใต้ตาเทียม และถุงใต้ตาแท้ ซึ่งเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน จึงทำให้มี วิธีการรักษาที่แตกต่างกันตามไปด้วย ดังนี้

  • ถุงใต้ตาเทียม ถุงใต้ตาเทียม เกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ๆ คือ ความผิดปกติของระบบการไหลเวียนโลหิตและนํ้าเหลือง ทำให้เกิดการสะสมของไขมันและของเหลวบริเวณผิวหนัง ใต้ตาจนบวมหรือนูนออกมา พฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การขยี้ตา การร้องไห้ พักผ่อนไม่เพียงพอ ใช้สายตามากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัด และเกิดจากอาการแพ้สารต่าง ๆ ทำให้เกิดการติดเชื้อ อักเสบ หรือบวมบริเวณใต้ตา ถุงใต้ตาเทียมเป็นอาการชั่วคราวที่สามารถรักษาได้ด้วยตนเอง โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม นอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอไม่เครียด หมั่นประคบเย็นบริเวณรอบดวงตา ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
  • ถุงใต้ตาแท้ เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ เกิดจากกรรมพันธุ์ หรือระบบต่อมไรท้อภายในร่างกายทำงานผิดปกติ ทำให้ไขมันและของเหลวต่าง ๆ ไหลมารวมกันบริเวณใต้ตามากเกินไปจนทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ตาดูนูนออกมา มีลักษณะเป็นถุงป่องนูนบริเวณใต้ตา และอีกสาเหตุเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ผิวหนังของคนเรานั้นจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทำให้เนื้อเยื่อที่รองรับถุงไขมันใต้ตาอ่อนแรงและหย่อนตัวลงมา ซึ่งจะหย่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น โดยจะมีลักษณะเป็นถุงใต้ตาหย่อนคล้อย

 

Q : สามารถลดถุงใต้ตาด้วยตนเองได้ไหม ถ้าไม่อยากผ่าตัด ?

A : ถุงบริเวณใต้ตาที่สามารถรักษาได้ด้วยตนเองก็คือ “ถุงใต้ตาเทียม” ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะเกิดจากการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ขยี้ตาบ่อย ๆ หรือใช้สายตาหนักเป็นประจำ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม และดูแลบำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีที่เหมาะสมจะช่วยให้อาการของถุงใต้ตาเทียมดีขึ้นได้ ดังนี้

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรง ๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ประคบดวงตาด้วยแตงกวา ถุงใบชา หรือสำลีชุบนํ้าเกลือ 5 – 10 นาที เป็นประจำทุกวัน
  • ทาครีมบำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์
  • นวดลดถุงใต้ตาบวม โดยการทาครีมบำรุงรอบดวงตา แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางแตะบริเวณกลางใต้ตา แล้วลาดออกไปทางหางตาและหัวตาอย่างเบามือ 5 – 10 ครั้ง จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และลดขนาดของถุงใต้ตาเทียมลงได้

Improve your confidence

#Eyelid Surgery

Schedule your consultation with our eyelid specialists