เมื่อคนเราอายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายย่อมมีการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสภาพไปตามวัย จากผิวหนังที่เคยเต่งตึงเปล่งปลั่งก็เริ่มที่จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและหย่อนคล้อยไปตามวัย และถ้าหากไม่มีการดูแลตนเองตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะยิ่งทำให้ความหย่อนคล้อยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและลำคอ แล้วความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นนี้ ควรรักษาด้วยวิธีไหน จะผ่าตัดดึงหน้า ทำไฮฟู่ หรือสารคลายกล้ามเนื้อดี บทความนี้มีคำตอบ
ทำความรู้จักกับความหย่อนคล้อยของใบหน้าและลำคอ
ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับวิธีรักษาความหย่อนคล้อยของใบหน้าและลำคออย่างการผ่าตัดดึงผิวหน้าให้ตึง เราควรที่จะทำความเข้าใจกับลักษณะของความหย่อนบนใบหน้าและลำคอก่อน ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ 7 บริเวณบนใบหน้าและลำคอ ดังนี้
1.บริเวณหน้าผากและคิ้ว
- เกิดรอยย่นพับเป็นจีบ (Deep Horizontal Forehead Furrow)
- คิ้วตก (Eyebrow Ptosis)
- ระยะระหว่างไรผมถึงคิ้วจะกว้างขึ้น หรือที่เรียกว่า “หัวเถิก” (Elongation of Forehead)
2.บริเวณดวงตา
- กล้ามเนื้อยกหนังตาอ่อนแรงจากการยืด / หย่อน (Aponeurotic Ptosis)
- หนังตาบนหย่อนคล้อยตกลงมาบางครั้ง บังจนไม่เห็นชั้นตา (Dermatochalasis)
- บริเวณหางตาจะตกลงมาเร็วกว่าบริเวณอื่นจนแลดูเป็นคนเศร้าหมอง (Lateral Hooding)
3.บริเวณจมูก
- ปลายจมูกจะงุ้มและเตี้ยลง (Tip Ptosis)
4.บริเวณแก้มส่วนบน
- มองเห็นร่องใต้ตาชัดขึ้น (Tear Trough Deformity)
- ร่องแก้มเราลึกขึ้น (Deepening Nasolabial Fold)
5.บริเวณปาก
- มุมปากเราก็จะตกและคว่ำลง (Drooping Angle Of Mouth)
- ระยะระหว่างจมูกกับริมฝีปากบนยืดยาวขึ้น (Upper Lip Elongation)
6.บริเวณแก้มส่วนล่าง
- เกิดหมาจู (Jowl)
- ร่องน้ำหมาก (Marionette Fold)
- กรอบหน้า และคอที่คมชัดหายไป (Loss Definition Of Face & Neck) ทำให้แก้มส่วนล่างกับคอส่วนกลมกลืนเป็นผืนเดียวกัน แยกกันไม่ออก
7.บริเวณคอ
- เห็นเหนียงชัดขึ้น
- ยิ่งถ้ามีไขมันสะสมด้วย ก็จะเห็นเป็นคาง 2 ชั้น (Double Chin)
- ความหย่อนคล้อยจะทำให้มุมของคางกับลำคอดูป้านขึ้น (Obtuse Cervicomental Angle)
(ปกติมุมนี้ที่เหมาะสมและดูอ่อนวัย จะอยู่ระหว่าง 105-120 องศา) ยิ่งบางคนคางยุบ และเล็กลงอีก ก็จะทำให้มุมระหว่างคางกับคอป้านมากขึ้นไปอีก - บางคนจะมีร่องในแนวขวางของคอ(Horizontal Neck Wrinkle)
- บางคนบริเวณกลางลำคอมีแท่งนูนชัดเชื่อมระหว่างคางกับกระดูกไหปลาร้า ในแนวตรงเห็นเป็นลำ (Platysma Banding)
- บางคนกล้ามเนื้อ (Platysma) หย่อนยานจนทำให้ไขมัน ต่อมน้ำลาย ย้อยมากองบริเวณตรงกลางคอ (Turkey Neck)
ความหย่อนคล้อยของใบหน้าและคอ (Facial Sagging) เกิดจากอะไร ?
สาเหตุของความหย่อนคล้อยบนใบหน้าและลำคอ แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
1.การหดตัวเกร็งของกล้ามเนื้อทั้ง 2 กลุ่ม บนใบหน้าและคอ
บริเวณใบหน้าและลำคอจะมีกล้ามเนื้อ 2 กลุ่มหลัก ๆ ที่มีแรงดึงระหว่างกัน แบ่งเป็นกล้ามเนื้อกลุ่มดึงหน้าขึ้น (Elevator Muscle) และกล้ามเนื้อกลุ่มดึงหน้าลง (Depressor Muscle) โดยถ้าหากกล้ามเนื้อกลุ่มดึงหน้าลงมีแรงดึงที่มากกว่าก็จะทำให้ใบหน้าและลำคอหย่อนคล้อยนั่นเอง
2.โครงกระดูกของใบหน้า (Facial Bone)
เมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น โครงกระดูกบนใบหน้า (Facial Bone) รวมถึงกระดูกส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย จะมีขนาดเล็กลงจากกระบวนการสลายของกระดูกที่มากกว่าการสร้างมวลกระดูก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่สูบบุหรี่จัด และผู้ที่มีความเครียดสูง
การที่โครงกระดูกบนใบหน้าเล็กลงจะทำให้เกิดผลกระทบตามมาหลายอย่าง เช่น
- โครงหน้ายุบลงจนทำให้ใบหน้าดูตอบ และส่งผลให้เอ็นที่ทำหน้าที่ยึดใบหน้าหย่อนยานตาม
- โหนกกระดูกบางตำแหน่งที่ทำหน้าที่ค้ำยันใบหน้าเล็กลง เช่น โหนกแก้มที่ค้ำยันผิวหนังใต้ตาไว้จะมีมวลกระดูกเล็กลง ทำให้ผิวหนังใต้ตาหย่อนคล้อยลงมา
นอกจากนี้ เมื่อเราอายุเพิ่มมากขึ้น แกนกระดูกบนใบหน้าของคนเราจะหมุนทวนเข็มนาฬิกา ทำให้บริเวณใต้ตาและแก้มยุบลง ปลายจมูกงุ้ม และปลายคางเตี้ยลงอีกด้วย
3.เอ็นที่ยึดระหว่างผิวหนัง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และกระดูกบนใบหน้าหย่อนยาน
เอ็นที่ยึดระหว่างผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังกับกระดูกบนใบหน้า (Facial Ligament) จะเปรียบเสมือนกับ “ตะปู” ที่ตอกยึดหน้าเราไว้ให้อยู่กับที่ ซึ่งจะมี 3 จุดที่แข็งแรงเป็นพิเศษ และหย่อนช้ากว่าเอ็นบริเวณอื่น ๆ ตามรูปภาพ เพื่อไม่ให้ผิวหน้าของเราหย่อนคล้อยลงมา
อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เอ็นเหล่านี้จะเริ่มหย่อนยาน ใช้การไม่ได้ มีแรงยึดเกาะน้อยลง ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ก็จะตกและย้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก และทำให้เราดูแก่กว่าวัยนั่นเอง
จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องฉีดสารคลายกล้ามเนื้อ ทำไฮฟู หรือดึงหน้า?
ในบางครั้งปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยของใบหน้าและลำคออาจไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดดึงผิวหน้าเสมอไป การที่เราเลือกวิธีรักษาความหย่อนคล้อยของใบหน้าและลำคอให้กับสาเหตุ จะทำให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า แล้วควรเลือกรักษาด้วยการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อ ทำไฮฟู่ หรือผ่าตัดดึงผิวหน้าดี สามารถแบ่งได้เป็น 3 กรณี ดังนี้
1.กรณีที่เกิดจากความไม่สมดุลของการหดเกร็งกล้ามเนื้อกลุ่มดึงขึ้น VS กล้ามเนื้อกลุ่มดึงลง
ในกรณีที่ความหย่อนคล้อยของใบหน้าและลำคอ เกิดจากกล้ามเนื้อกลุ่มดึงลงมีแรงดึงที่มากกว่ากล้ามเนื้อกลุ่มดึงขึ้น สามารถรักษาได้ด้วยการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อกลุ่มดึงลงอัมพาตชั่วคราว หรือคลายตัวชั่วคราว ส่งผลให้กล้ามเนื้อกลุ่มดึงขึ้นทำงานได้ดีกว่า ช่วยให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษานี้จะใช้ได้ผลเฉพาะในผู้ที่มีการทำงานของกลุ่มกล้ามเนื้อดึงลงเด่น หรือ Active มาก (Hypertonicity) และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
2.กรณีที่เกิดจากโครงกระดูกของใบหน้ายุบตัวลง
ในผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้าจากโครงกระดูกยุบตัวลง สามารถรักษาได้ด้วยการเติมเต็มใบหน้า (Facial Volumization) ให้เต็ม ซึ่งแบ่งเป็น 3 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
การเสริมวัสดุทางการแพทย์ (Facial Implant) เช่น Silicone, Gortex, Medpor เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบผลลัพธ์ถาวร อยู่ได้นานตลอดชีวิต
การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) โดยนิยมฉีดสารเติมเต็มในกลุ่มไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) เพราะสามารถสลายได้เองภายใน 1 – 2 ปี ไม่ตกค้างอยู่ในร่างกาย
การฉีดไขมันตนเอง (Autologous Fat Graft) หรือที่นิยมเรียกกันว่า “การฉีดไขมันหน้าเด็ก” โดยจะนำไขมันจากบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น ท้องน้อย ต้นขา มาปั่นแยกเอาเซลล์ไขมันบริสุทธิ์มาฉีดเติมเต็มที่ใบหน้า ซึ่งมีข้อดีคือ ถ้าปลูกถ่ายไขมันติดแล้วจะสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิต
3.กรณีที่เกิดจากเอ็นยึดหน้า (ตะปู) หลวม หย่อนยาน หรือใช้การไม่ได้
ส่วนใหญ่จะเกิดระยะท้าย ๆ ของขบวนการแก่ของใบหน้าดังกล่าวมาแจ้งข้างต้น เราต้องรีบซ่อมแซมโดยด่วนนะครับ หมอจะแยกการแก้ปัญหากรณีเอ็นยึดหน้าหย่อนตามระดับความรุนแรงของการหย่อนยาน
3.1.กรณีเอ็นยึดหน้าหย่อนน้อย โดยเฉลี่ยอายุ 30-40 ปี
สามารถรักษาได้ด้วย 2 วิธีหลัก ๆ คือ
- การร้อยไหม (Thread Lifting) มีข้อดีคือ ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ Fibroblast ที่ไม่มากเกินไป จะช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้เกิดพังผืดในระดับที่เหมาะสม ช่วยให้เกิดการหดรั้งไปตามแนวของไหม และทำให้ผิวกระชับขึ้นในระดับหนึ่ง
- การใช้พลังงานต่าง ๆ กระทำต่อเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการหดรัดตัวเอง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อาจเป็นชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือเนื้อเยื่อชั้นลึกกว่าอย่าง SMAS ตัวอย่างเช่น Plasma, Radiofrequency Laser หรือ High Intensity Focused Ultrasound (HIFU)
3.2. กรณีที่ความหย่อนยานค่อนข้างมาก โดยเฉลี่ยอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป
ในกรณีที่เอ็น หรือตะปูยึดหน้าคลายตัวมาก สังเกตจากร่องแก้มที่ลึกมาก, มุมปากคว่ำลงชัดเจน, เห็นหมาจูและร่องน้ำหมากชัดเจน การใช้พลังงานต่าง ๆ หรือร้อยไหมอาจไม่ได้ผล (ยกเว้นคนที่ต้องการค้ำยันแค่นั้น) จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดดึงหน้า (Lifting Surgery) เท่านั้น ส่วนจะดึงตรงไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีปัญหาที่ตรงไหน เช่น คิ้ว, ใต้ตา, ใบหน้า, คอด้านหน้า, คอด้านข้าง หรือคอทั้งหมดเป็นต้น
โดยในปัจจุบัน เราจะนิยมดึงเป็นส่วน ๆ มากกว่าที่จะดึงทุกส่วนพร้อมกันทีเดียว เนื่องจากการดึงแต่ละบริเวณของหน้าและคอจะมีทิศการดึง (Lifting Vector) ที่ต่างกัน ซึ่งจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากกว่าการดึงไปในทิศทางเดียวกันหมดทั้งหน้า
เทคนิคการดึงหน้า (Face Lift Technique)
1.การดึงผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้น (Subcutaneous Face Lifting)
การผ่าตัดด้วยวิธีนี้ จะลงลึกเพียงชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพียงเท่านั้น จึงทำให้ผ่าตัดง่าย และแผลผ่าตัดหายเร็ว แต่ก็มีข้อเสียหลายอย่างตามตารางที่เปรียบเทียบดังนี้นะครับ
ข้อดีของการดึงบริเวณผิวหนังชั้นตื้น
-
ได้ผลดีในการดึงบริเวณข้างแก้ม หางตา และลำคอ
-
ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน
-
พักฟื้นเร็ว แผลหายเร็ว
-
เหมาะสำหรับการผ่าตัดซ้ำ หรืองานแก้ (Revision Face Lift Surgery)
-
ราคาถูกและประหยัดค่าใช้จ่าย
ข้อเสียการดึงบริเวณผิวหนังชั้นตื้น
-
เนื่องจากวิธีนี้จะไม่แก้ไขเอ็นยึดใบหน้า (Facial Ligament) ที่อยู่ชั้นลึกลงไป จึงไม่ได้ผลชัดเจนมากนักต่อการดึงร่องแก้ม มุมปาก และหมาจู และไม่ได้ผลในคนที่อ้วนมาก ๆ หรือมีความหย่อนคล้อยค่อนข้างมาก
-
ผลการผ่าตัดอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากไม่ได้แก้ไขเอ็นยึดหน้า (Facial Ligament) และดึงเนื้อเยื่อชั้น SMAS โดยตรง
-
เนื่องจากเป็นการดึงเฉพาะผิวชั้นตื้น จึงเกิดตามแนวแรงตึงแผลผ่าตัด (Wound Tension) ค่อนข้างมาก ทำให้เกิดแผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar) หรือคีลอยด์ (Keloid) ได้ง่ายมาก
-
ผลของการผ่าตัดไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ (Surgery Look)
2.การผ่าตัดดึงผิวหน้าในแนวลึก (Deep Plane Face Lift)
เป็นเทคนิคการผ่าตัดที่แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดที่สุด และเห็นผลมากกว่าวิธีแรก เพราะเป็นการดึงที่ผิวหนังชั้น SMAS (Superficial muscular aponeurotic system) ร่วมด้วย
ข้อดีของการดึงในแนวลึก
-
มีประสิทธิภาพสูงกว่าและอยู่ได้นานกว่าการดึงในแนวตื้น เนื่องจากมีการแก้ไขเอ็นยึดหน้าหรือตะปู (Facial Ligament) โดยตรง ก่อนที่จะดึงผิวหน้าไปตามแนวที่เราต้องการ
-
แรงตึงตัวของแผลเย็บน้อย (Tension Fee) จึงมีโอกาสเกิดแผลเป็น (Hypertrophic Scar) และคีลอยด์ (Keloid) น้อยกว่าการผ่าตัดเทคนิคแรก
-
ผลของการผ่าตัดจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า เนื่องจากแพทย์จะดึงเนื้อเยื่อชั้น SMAS ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกกว่าผิวหนังชั้นตื้น
-
ได้ผลดีกับปัญหาที่แก้ไขยาก เช่น มุมปาก หรือหมาจูข้างแก้ม ซึ่งไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีการผ่าตัดดึงผิวหนังชั้นตื้น (Subcutaneous Face Lifting), ทำ RF, ทำ HIFU หรือร้อยไหม (Thread Lifting)
ข้อเสียของการดึงในแนวลึก
- การผ่าตัดใช้เวลานานขึ้น ใช้เทคนิคที่ซับซ้อนขึ้น ดังนั้นแพทย์จะต้องมีความชำนาญและความละเอียดมากขึ้น เนื่องจากใต้ผิวหนังชั้น SMAS มีอวัยวะที่สำคัญของใบหน้าหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้อชั้นลึก (Deep Facial Muscle), เส้นเลือด (Vessel) หรือเส้นประสาท (Facial Nerve) เป็นต้น
- ราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากใช้เวลาในการผ่าตัดนาน จึงทำให้การใช้ยาระงับปวด และเวชภัณฑ์อื่น ๆ มากขึ้นตามไปด้วย
เทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าในแนวลึกที่ ดร.กร เอสเทติค คลินิก
ที่ดร.กร เอสเทติค คลินิก เรามีการปรับใช้เทคนิคการผ่าตัดดึงผิวหน้าในแนวลึกที่หลากหลาย ให้เหมาะกับการแก้ปัญหาของคนไข้มากที่สุด เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด ดังนี้
1.Dual Plane Face Lift (Extend SMAS Technique)
โดยการเลาะเนื้อเยื่อชั้นตื้น (Subcutaneous Flap) และเนื้อเยื่อชั้นลึก (SMAS Flap) แยกกันชัดเจนแล้วดึงเนื้อเยื่อชั้น SMAS ในแนวดิ่งกว่าการดึงผิวหน้า จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
2.Foundation Face Lift
เป็นการดึงชั้น SMAS และผิวหนังพร้อมกัน (Composite Musculocutaneous Flap/Robust Flap) โดยการเลาะในระดับลึกใต้ SMAS ทีเดียว จึงเหมาะกับคนไข้ที่มีความเสี่ยงต่อการเลาะตื้น ๆ เช่น คนที่สูบบุหรี่ และเคสที่เคยผ่าตัดดึงผิวหน้ามาแล้ว
3.Lateral SMASectomy
มีการตัดเอาเนื้อเยื่อชั้น SMAS ด้านข้างออกบางส่วน จึงมีผลดีสำหรับคนที่หน้ากว้างและหนา แต่ไม่เหมาะสมกับคนที่ผอมบาง
4.Subperiosteal Face Lift
มีการเลาะลึกถึงใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูก (Subperiosteal Plane) จึงมีประสิทธิภาพสูงในการดึงมาก แต่ต้องการการยึดหลังดึงที่ดีมาก (Rigid Fixation) ด้วยอุปกรณ์เสริมหลายอย่าง เช่น กล้อง (Endoscope), สกรู (Screw & Drill) เหมาะสำหรับการทำบริเวณหน้าผาก, คิ้ว, ใต้ตา, แก้ม และต้องการเสริมวัสดุทางการแพทย์ร่วมด้วย
5.High SMAS Technique
เป็นเทคนิคใหม่ที่หมอกรคิดว่าเป็นวิธีที่ดีมาก และเป็นที่นิยมระดับสากลมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการเลาะลงไปใต้ชั้น SMAS ในระดับที่สูงขึ้นจนเลยระดับกระดูกโหนกแก้ม เพื่อที่จะดึงบริเวณแก้มใต้ตาและมุมปากให้ได้ผลดีกว่าเทคนิคอื่น ๆ แถมยังยกแก้มส่วนล่างและหมาจู (Jowl) ให้ได้ผลมากขึ้นอีกด้วย
ผลเสียและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัดดึงหน้า
- อุบัติเหตุต่อต่อมน้ำลาย (Parotid Injury)
มักเกิดในการผ่าตัดแบบการเลาะชั้นลึกต่อชั้น SMAS อาจเกิดต่อตัวต่อมน้ำลายเอง หรือท่อของต่อมน้ำลาย - เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 (Facial Nerve Injury)
มีอุบัติการณ์ 3 – 2.6 % - เส้นประสาทรับความรู้สึก (Sensory Nerve)
โดยเฉพาะที่พบบ่อย คือ เส้นประสาทรับความรู้สึกบริเวณใต้กกหูหรือคอด้านข้างส่วนบนจากเส้นประสาท (Great Auricular Nerve) - ภาวะเลือดออกหรือห้อเลือด
มักจะเกิดใน 24 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด ส่วนใหญ่เป็นระดับไม่รุนแรง (Mild Hematoma ; 2 – 10 ) เกิดขึ้นได้ 3 – 8 % ของการผ่าตัด เกิดขึ้นได้บ่อยในคนไข้ที่มีความเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง (Hypertension) , มีอาการคลื่นใส้ อาเจียนมากหลังผ่าตัด , ไอหรือปวดแผลผ่าตัดในระดับที่รุนแรง มีข้อสังเกตง่าย ๆ คือ มีอาการปวดรุนแรงผิดปกติ , บวม , ก้อนห้อเลือด เป็นต้น และเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทันที - ภาวะน้ำเหลืองคั่ง (Seroma)
มักจะเกิดหลังผ่าตัด 5 – 7 วัน แพทย์จะรักษาโดยการเจาะดูดออกแล้วพันกดไว้ชั่วคราว (Pressure Dressing) - ภาวการณ์ติดเชื้อ (Infection)
เกิดน้อยมาก < 1.00 % ถ้าภูมิคุ้มกันอยู่ในภาวะปกติ (Non- Immunocompromised Status) - ผมร่วง (Hair Loss)
เกิดขึ้นได้ 0.8 % เนื่องจากการใช้จี้ (Electrocautery) การดึงที่มากเกินไป (Excess Traction) อาจเป็นการร่วงชั่วคราว 4 – 6 เดือนก็ดีขึ้นเอง (Telogen Effluvium) กรณีที่ผมไม่ขึ้นในระยะเวลาเกิน 12 เดือน พิจารณาแก้ไปด้วยการปลูกผมถาวร (Hair Transplantation) - แนวไรผมบริเวณหลังหูไม่เรียบ (Stair Stepping Deformity of Postauricular Hairline)
มักเกิดในกรณีที่ต้องการดึงผิวหนังบริเวณคอ ในกรณีที่คอหย่อนคล้อยมาก - อาจเกิดแผลเป็น (Hypertrophic Scar) หรือ Keloid ได้
ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ พันธุกรรม (Genetic) , แรงตึงของแผลผ่าตัด (Wound Tension) เป็นต้น - ผิวไม่เรียบ (Surface Irregularity)
อาจเกิดจากมีเลือดออกเฉพาะที่ น้ำเหลืองคั่งเฉพาะที่ โดยส่วนมักจะหายไปได้เองด้วยการนวดเบา ๆ แต่ถ้าไม่หายแพทย์ก็จะฉีดสเตียรอยด์เป็นระยะ ๆ จนหาย ในกรณีที่ไม่เรียบจริง ๆ อาจพิจารณาปรับให้เรียบด้วยการฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมัน (Autologous Fat Graft) - การไหลเวียนของเลือดถูกอุดตัน (Deep Vein Thrombosis (DVT) และ Pulmonary Embolism
มักจะเกิดขึ้นในการผ่าตัดแบบดมยาสลบ (General Anesthesia) มากกว่าการผ่าตัดแบบใช้ยาเฉพาะที่ (Intravenous Sedation with Local Anesthetic)
สรุปเรื่องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้าและลำคอด้วยวิธีการดึงหน้า
หมอกรมีคำแนะนำว่าเราจะเลือกวิธีไหนดีก็ขึ้นอยู่กับ
- เลือกวิธีที่ตรงกับปัญหาและสาเหตุที่ทำให้เกิดใบหน้าเราหย่อนคล้อย เพื่อให้เกิดผลที่ดีที่สุดและคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายของเรามากที่สุด
- ความพร้อมทั้งในแง่เวลา , การดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการรักษา ตลอดจนกำลังทรัพย์ของตัวเอง
- ความคาดหวังของแต่ละคนว่ามากแค่ไหน ยกตัวอย่าง เช่น กรณีที่ใบหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ แต่เลือกใช้วิธีการร้อยไหมหรือ HIFU แต่คาดหวังว่า ใบหน้าต้องตึงเหมือนผ่าตัดดึงหน้า , หมาจู (Jowl) ต้องผาย ฯลฯ แบบนี้ถือว่า “คาดหวังเกินจริง”
- การยอมรับข้อดีข้อเสีย (Pros & Cons) ของแต่ละวิธีได้
- บางคนต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เนื่องจากมีปัญหาหลายจุด คุณหมอจะวางแผนร่วมกันกับคนไข้ว่า ควรจะเริ่มด้วยวิธีไหนก่อน – หลัง เพื่อให้เกิดผลที่ดีที่สุดครับ ยกตัวอย่างเช่น หลังจากดึงหน้า ดึงคอให้ตึงแล้ว บางคนใบหน้าตอบ ขมับตอบ แก้มตอบด้วย อาจพิจารณาเติมไขมันให้ใบหน้าดูอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้น มีมิติให้แลดูสดใสขึ้น เป็นต้น
- สุดท้าย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการแก้ปัญหาหน้าและคอหย่อนคล้อย เนื่องจากคนเรามีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกันครับ ในคนที่ต้องการแก้ไขให้เห็นผลชัด ๆ หมอก็จะแนะนำให้พิจารณาตามข้อ 1 – 5 แต่เนื่องจากเราหยุดสังขารตัวเราไม่ได้ บางคนแค่ต้องการให้ดีขึ้นบ้างและป้องกันไม่ให้หย่อนคล้อยเร็วเกินไป (ค้ำยัน) ลองทำตามคำแนะนำง่าย ๆ ของหมอกรดูนะครับ
- ดูแลสุขภาพโดยรวมของเราให้ดี ทานอาหารดี ออกกำลังกาย ไม่เครียดเกินไป หลีกเลี่ยงสารพิษต่าง ๆ โดยเฉพาะบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ความแก่ก็จะมาเยือนน้อยลง
- ไม่ควรนอนคว่ำหรือนอนตะแคง เนื่องจากใบหน้ามีแนวโน้มหย่อนคล้อยไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก สำหรับคนที่ไม่กลัวอึดอัด อาจพิจารณาใช้ผ้ารัดหน้า (Facial Garment) ที่มีขนาดพอเหมาะ รัดหน้าเอาไว้เท่าที่เราจะทำได้
- ในกรณีที่มีเวลา อาจจะหาโอกาสค้ำยันใบหน้าและลำคอตัวเอง คือ กระตุ้นให้เอ็นหรือตะปูยึดใบหน้า (Facial Ligament) ของเราให้ตึงกระชับเป็นระยะ แต่ต้องทำสม่ำเสมอนะครับ จึงจะเห็นผล อาทิเช่น
- การนวดหน้า (Face Massage)
- การใช้พลังงานรูปแบบต่าง ๆ เช่น
- High Intensity Focus Ultrasound (HIFU)
- Radio – Frequency (RF)
- Laser
- Electroporation
- Plasma
อีกอย่างที่หมอกรจะฝากไว้ คือ ระวังไม่ให้เราอ้วนเกินไป เพราะไขมันจะสะสมชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ทุกส่วนของร่างกาย ถ้าไขมันสะสมมากขึ้นที่ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหมาจู (Jowl) หรือใต้คาง , เหนียง ก็จะยิ่งถ่วงใบหน้าและคอให้หย่อนคล้อยลงมามากขึ้น
รวมรีวิวดึงหน้า ดึงหน้าผาก ดึงคอ ที่ดร.กร เอสเทติค คลินิก
ดูรีวิวเพิ่มเติม : รวมรีวิวผ่าตัดดึงหน้า ดึงคิ้ว/ขมับ ดึงคอ ที่ ดร.กร เอสเทติค คลินิก
มีคำถามเกี่ยวกับการผ่าตัดดึงหน้าอยู่ใช่ไหม?
สำหรับใครที่มีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาด้านความงามของดร.กร เอสเทติค คลินิก ได้ที่ไลน์ @dr.gornaesthetique มีแพทย์ช่วยประเมินออนไลน์ได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย! พร้อมให้บริการทั้ง 3 สาขา ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร น่าน หรือพิษณุโลก ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยตรงที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี
บทความโดย Dr.Gorn’s Facial Plastic teams
ดร.กร คลินิก พร้อมให้บริการทั้ง 4 สาขา
สาขากรุงเทพ
ที่ตั้งสาขา
เลขที่ 51/1 ซอยรามอินทรา 109
ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร 10510 โทร. 089 130 5448 »
ดูแผนที่ใน Google Map »
วัน/เวลาให้บริการ
- จันทร์ - พุธ | 10:00 - 19:00 น.
- พฤหัสบดี | ปิดทำการ
- ศุกร์ - อาทิตย์ | 10:00 - 19:00 น.
สาขาน่านนคร
ที่ตั้งสาขา
เลขที่ 242/6 (ข่วงฮังต่อ ชั้น 2) ถนนมหายศ
ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน จ.น่าน 55000 โทร. 065 264 5964 »
ดูแผนที่ใน Google Map »
วัน/เวลาให้บริการ
- จันทร์ - อังคาร | 10:00 - 19:00 น.
- พุธ | ปิดทำการ
- พฤหัสบดี - อาทิตย์ | 10:00 - 19:00 น.
สาขาพิษณุโลก
ที่ตั้งสาขา
เลขที่ 49/88 ถนนชาญเวชกิจ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง พิษณุโลก 65000
โทร. 061 272 4665 หรือ 061 274 1865
ดูใน Google Map »
วัน/เวลาให้บริการ
- จันทร์ - อังคาร | 11:00 - 20:00 น.
- พุธ | ปิดทำการ
- พฤหัสบดี - อาทิตย์ | 11:00 - 20:00 น.
สาขาอุตรดิตถ์
ที่ตั้งสาขา
236/8 ถนนบรมอาสน์ ต.ท่าอิฐ อ.เมืองอุตรดิตถ์ อุตรดิตถ์ 53000 โทร. 081 747 8949
ดูแผนที่ใน Google Map »
วัน/เวลาให้บริการ
- จันทร์ - อังคาร | 10:00 - 19:00 น.
- พุธ | ปิดทำการ
- พฤหัสบดี - อาทิตย์ | 10:00 - 19:00 น.