WHY DO WE PREFER DEEP SMAS FACELIFT ?
ทำไมเราถึงเชื่อมั่นในการดึงหน้าชั้นลึก Deep SMAS Facelift
ในปัจจุบันการผ่าตัดดึงหน้าได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งในไทยและต่างประเทศ เทคนิคการผ่าตัดดึงหน้านั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมีความก้าวหน้ามากขึ้น สามารถก้าวข้ามขีดกำจัดของการผ่าตัดดึงหน้าแบบเดิม ๆ ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี
หมอพบว่าประเทศไทยในปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดว่า การผ่าตัดดึงหน้า ในแต่ละเทคนิคนั้นผ่าตัดเหมือนกันและให้ผลลัพธ์เหมือนกัน ในความเป็นจริงนั้นต้องยอมรับว่าการผ่าตัดดึงหน้าแต่ละเทคนิคแตกต่างกัน ทั้งในแง่ระยะเวลาในการผ่าตัด ความซับซ้อนของการผ่าตัด ผลลัพธ์ของการผ่าตัด และความคงทนของผลลัพธ์หลังผ่าตัด ซึ่งจากปัจจัยข้างต้นทำให้บางเคสผ่าตัดดึงหน้ามาแล้ว ดูไม่แตกต่างจากเดิมนัก บางเคสใบหน้าดูตึงขึ้น แต่ได้แนวที่ไม่ธรรมชาติ ผลลัพธ์หลังผ่าตัดอยู่ไม่นาน บางเคสมีแผลเป็นนูนตามแนวการเปิดแผลผ่าตัดดึงหน้าที่ชัดเจน ผลต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะทำให้หลายคนมีความกังวล และไม่กล้าเลือกการผ่าตัดดึงหน้า
อย่างไรก็ตาม ในความคิดเห็นส่วนตัวของหมอที่ผ่าตัดดึงหน้าชั้นลึกมาเกือบ 20 ปี การผ่าตัดดึงหน้าชั้นลึกนั้นไม่ได้เป็นการผ่าตัดที่น่ากลัวอย่างที่คิด สามารถมีผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานด้วยครับ หากเราเลือกเทคนิคการผ่าตัดที่ถูกต้อง เหมาะสมกับตัวเราเอง แนวการดึงต้องเลียนแบบโครงสร้างของใบหน้าตามธรรมชาติเดิมของคนไข้ แต่ในเคสที่เป็นเคสแก้ ซึ่งเคยผ่าตัดดึงหน้ามาก่อน แล้วมีปัญหาเรื่องผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ หรืออยู่ไม่นาน อาจเกิดจากการผ่าตัดด้วยเทคนิคที่หมอพบบ่อย คือ การผ่าตัดดึงหน้าแบบชั้นตื้น (Subcutaneous facelift) หรือในบางเคสมีการผ่าตัดร่วมกับวัสดุยกกระชับบางชนิดในท้องตลาด หรือในบางเคสอาจมีผ่าตัดเพื่อปรับแต่งชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ร่วมด้วย เช่น การเย็บชั้นผิว SMAS ในกรณีแบบนี้จะได้ผลที่ดีขึ้นกว่าการผ่าตัดแบบชั้นตื้น แต่ผลลัพธ์ในหลาย ๆ เคสอาจยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยมีผลมาจากปัญหาเหล่านี้ครับ
- ชั้นไขมันชั้นตื้น (Superficial Fat)
- การตัดชั้นผิวหนังในปริมาณมาก ทำให้มีแรงตึงบริเวณแผลผ่าตัดมาก จึงทำให้เกิดแผลเป็นนู่นบริเวณแผลผ่าตัด
- ชั้นผิว SMAS ไม่ได้ถูกยกให้กระชับ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก จึงยกกระชับได้เล็กน้อย
- การเย็บชั้น SMAS ให้ตึงขึ้น (SMAS Plication)
- การร้อยไหมชั้น SMAS แขวนขึ้น
การดึงหน้าชั้นลึก หรือ เทคนิค Deep SMAS facelift
ในปัจจุบันมากกว่า 90% ของเคสผ่าตัดดึงใบหน้า รวมถึงการผ่าตัดดึงคอของหมอ หมอจะเลือกการผ่าตัดดึงหน้าชั้นลึก ซึ่งลึกกว่าชั้น SMAS (Deep SMAS facelift) เพื่อเข้าไปปรับแต่งกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นยึดใบหน้าใหม่ เพื่อแก้ปัญหาการยกร่องแก้ม ยกร่องน้ำมาก ดึงใบหน้าส่วนกลาง และยกกระชับคอ สร้างแนวกรอบหน้าใหม่ ช่วยให้ผลลัพธ์ดูธรรมชาติ และยังคงทนกว่าเทคนิคการดึงหน้าเดิม ๆ
การดึงหน้าชั้นลึก หรือ เทคนิค Deep SMAS facelift เป็นการผ่าตัดดึงหน้า เพื่อเลาะและทำการดึงในชั้นลึกที่อยู่ใต้ชั้นกล้ามเนื้อชั้นตื้นของใบหน้า (SMAS Layer) และยังมีการผ่าตัดเปลี่ยน จุดเกาะเอ็นยึดใบหน้าใหม่ให้กระชับมากขึ้นด้วยครับ ทั้งนี้เพื่อทำการดึงกระชับโครงสร้างกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นใบหน้าในระดับชั้น SMAS อย่างแท้จริง การผ่าตัดเทคนิคนี้จึงทำให้สามารถยกใบหน้าขึ้นได้มากกว่า ลดแรงตึงของแผล ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานกว่าการผ่าตัดดึงหน้าแบบเดิม หรือการผ่าตัดดึงหน้าแบบชั้นตื้น
นอกจากนี้แพทย์ผู้ผ่าตัดยังสามารถที่จะควบคุมแนวแรงดึงในการดึงยกกระชับ แต่ละตำแหน่งบนใบหน้าได้ละเอียด ผลของการผ่าตัดแบบนี้ จึงอยู่ได้นานกว่า และแนวการดึงของใบหน้าจะดูธรรมชาติ โดยอาศัยการควบคุมทิศทางการดึงหน้าชั้นลึก (SMAS Layer) โดยหมอจะผ่าตัดดึงชั้นลึกขึ้นก่อน แล้วค่อยผ่าตัดดึงชั้นตื้น หรือผิวหนังของคนไข้ในตอนท้าย ทำให้แรงตึงบริเวณแผลผ่าตัดน้อยลง เพราะฉะนั้นการผ่าตัดแบบนี้ จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น หรือคีลอยด์น้อยกว่าเทคนิคอื่นๆ อย่างมาก การผ่าตัดดึงหน้าชั้นลึกนี้จึงเหมาะสมอย่างมากสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องของการหย่อนคล้อยของใบหน้าค่อนข้างเยอะ หรือในคนที่มีปัญหาร่องแก้มลึก ๆ มุมปากตกเยอะ ถุงหมาจูที่เห็นชัดเจน เหนียงใต้คาง และลำคอที่หย่อนคล้อย รวมไปถึงเคสแก้ ในคนไข้ที่เคยดึงหน้ามากแล้ว เป็นต้น
เทียบชัด ถึงความแต่ต่างของแต่ละเทคนิค "ดึงหน้า"
อย่างไรก็ตามการผ่าตัดนี้จะอยู่ในระดับที่ลึกกว่าชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับเส้นประสาทใบหน้า รวมถึงเส้นเลือดต่างๆ ทำให้ต้องอาศัยเวลาผ่าตัดที่ยาวนานกว่า และอาศัยต้องอาศัยประสบการณ์ ทักษะความเชี่ยวชาญ และความเป็นศิลปะของศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดเป็นอย่างมาก เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเทคนิคการดึงหน้าแบบเดิม ๆ แต่ยังคงความปลอดภัยของการผ่าตัดได้มาตรฐานสากลเช่นเดิม
|
Deep SMAS Face Lift (High SMAS) |
SMAS lift surgery (General Deep plane facelift) |
Subcutaneous Facelift surgery |
ระดับชั้นลึกของการผ่าตัด |
ใต้ต่อชั้น SMAS |
บนชั้น SMAS |
ใต้ผิวหนัง ชั้นไขมันตื้น |
ความซับซ้อนในการผ่าตัด |
ซับซ้อนมาก |
ใกล้เคียงเทคนิค skin lifting |
ไม่ซับซ้อน |
ระยะเวลาในการผ่าตัด |
มากกว่า 6 ชม |
2-4 ชม |
2-3 ชม |
ผลลัพธ์การยกกระชับ |
เห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะร่องแก้ม ใบหน้าส่วนกลาง จะถูกดึงได้มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีอื่น |
ยกกระชับมากกว่าเทคนิค subcutaneous lifting |
ยกกระชับได้ไม่มาก |
ความเป็นธรรมชาติ |
ดูเป็นธรรมชาติ |
ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ |
อาจทำให้บริเวณโหนกแก้มใหญ่ขึ้น และดวงตาดูเล็กลง |
ความคงทนของผลลัพธ์ |
นานกว่า |
ปานกลาง |
1 ปี |
ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลนูนตามแนวแผลผ่าตัด |
น้อย เนื่องจากมีแรงตึงที่ผิวหนังน้อย เพราะเป็นการยกกระชับที่ชั้นลึก |
น้อย ถึงปานกลาง |
มีโอกาสมาก |
ความชำนาญของแพทย์ผู้ผ่าตัด |
มาก |
ปานกลาง ถึงน้อย |
น้อย เนื่องเป็นการผ่าตัดชั้นตื้น |
สุดท้ายนี้หมออยากให้คนที่ต้องการผ่าตัดดึงหน้า ควรเข้าปรึกษากับแพทย์ผู้ที่จะผ่าตัดด้วยตนเองก่อนทุกครั้ง เพื่อทราบรายละเอียดของเทคนิค รวมถึงปรึกษาถึงเป้าหมายของผลลัพธ์ที่ต้องการ และผลข้างเคียง ของการผ่าตัดแต่ละแบบที่อาจเกิดขึ้น
รับชมสาระดี ๆ เพิ่มเติมได้ที่ Doctor Gorn Aesthetique
มีคำถามเกี่ยวกับ "การผ่าตัดดึงหน้า" อยู่ใช่ไหม?
สำหรับใครที่สนใจดึงหน้าชั้นลึกกับอาจารย์หมอกร อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและประเมินราคาเบื้องต้นด้วยตนเองได้ ที่นี่ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาด้านความงามของดร.กร เอสเทติค คลินิก ได้ที่ไลน์ @dr.gornaesthetique มีแพทย์ช่วยประเมินออนไลน์ได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย!
พร้อมให้บริการแล้วทั้ง 4 สาขา ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร น่าน พิษณุโลก หรืออุตรดิตถ์ ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยตรงที่มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี
บทความโดย Dr.Gorn’s Facial Plastic Teams