บริเวณหนังตาล่าง (Lower Eyelid) ถือว่าเป็นบริเวณสำคัญของใบหน้าครับ เนื่องจากเป็นบริเวณแรกของใบหน้าที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว จะเป็นสัญญาณเตือนของความเสื่อมบนใบหน้า (Early Sign of Aging Face)
ถุงใต้ตา (Eyebags) เป็นหนึ่งในอาการแสดงของความเสื่อมของตาล่างและแก้ม (Lower Eyelid & Midface Aging Process) เวลาเรามีถุงใต้ตาจะทำให้แลดูเหนื่อยล้า (Tired Look) , เศร้าหมอง (Sad Look) และมองเห็นรอยต่อระหว่างบริเวณใต้ตาและแก้มชัดเจนขึ้น (Elongation Of Lid-Cheek Junction) ยิ่งทำให้แลดูมีอายุมากขึ้น
บางคนมีถุงใต้ตาร่วมกับภาวะกล้ามเนื้อใต้ตาโต (Pretarsal Orbicularis Oculi Hypertrophy) หรือ ทำ Dolly Eye มาก่อน จะทำให้มองเห็นบริเวณใต้ตาเป็น 2 ลอน (Double Contour) เนื่องจากมีการหย่อนคล้อยของถุงใต้ตา (Orbital Septum) จะทำให้ไขมันใต้ตา (Infraorbital Fat) โป่งพองออกมาให้เห็นเป็นถุงยิ่งถุงไขมันมีขนาดใหญ่ ก็จะทำให้เห็นเงา (Shadow) บริเวณใต้ถุงชัดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดรอยดำคล้ำรอบดวงตา (Dark Circle) ในกรณีดังกล่าว ก็จะยิ่งทำให้เราแลดูสูงวัย และรู้สึกแย่ลงไปอีก จนขาดความมั่นใจได้ บางครั้ง Make up กลบไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาเรานอนดึกเป็นประจำ , เวลายุ่งกับงานและเครียดหนัก ๆ ติดต่อกัน ถึงแม้ว่าเวลายิ้มแก้มเราจะยกขึ้น และทำให้ดูดีขึ้นก็ตาม
ภาวะปกติของบริเวณใต้ตา (Normal Undereye Area)
- ผิวหนังใต้ตาเรียบเนียน
- ไม่มีริ้วรอย (Wrinkle)
- ไม่มีถุงใต้ตา (Eyebags)
- ไม่มีร่องใต้ตา หรือมีเล็กน้อย (Tear Trough)
- บริเวณใต้ตา (lower eyelid) จะกลมกลืนกับแก้ม (Cheek) โดยไร้รอยต่อ (Obvious Lid-Cheek Junction)
ภาวะที่มีความเสื่อมของบริเวณใต้ตาและแก้ม (Aging Lower Eyelid & Midface)
- มีถุงใต้ตา (Eyebags)
- ร่องใต้ตา (Tear Trough Deformity)
- รอยคล้ำใต้ตา (Dark Circle)
- ผิวหนังใต้ตาเหี่ยวย่นและมีริ้วรอย (Skin Redundancy / Wrinkle / Furrow)
- ร่องใต้ตายาวลงมาจนถึงบริเวณแก้ม (Midcheek Groove / Indian Band)
- ขอบตาล่างหย่อน (Lid laxity)
- ขอบตาล่างรั้งและปลิ้น (Lid Retraction / Ectropion)
- มองเห็นตาขาว (Scleral Show) ซึ่งในภาวะปกติคนเราจะมองไม่เห็นตาขาวบริเวณใต้ตาลูกตาดำ
- ใต้ตาโบ๋หรือบางครั้งเห็นแนวของกระดูกของเบ้าตา (Infraorbital Hollowness)
- กระดูกแก้มยุบตัวลง ( Malar / Maxilla Hypoplasia)
- บางครั้งจะเห็นรอยต่อของบริเวณใต้ตาและแก้มชัดเจนขึ้น (Elongation Of Lid-Cheek Junction)
- มีร่องแก้มลึกและเห็นชัดขึ้น (Deepen Nasolabial Fold)
การแก้ไขปัญหาของตาล่างทำได้อย่างไรบ้าง (Low Eye Lid-Cheek Junction Rejuvenation)
วิธีการแก้ไขมีหลายวิธีโดยแพทย์จะพิจารณาตามปัจจัยหลายๆ อย่าง ได้แก่
- ปริมาณถุงใต้ตาว่ามีมากน้อยแค่ไหน (Severity Of Eyebags)
- โครงสร้างของแก้มโดยเฉพาะกระดูกบริเวณแก้มว่าปกติ, ยุบตัว หรือโหนกนูนแค่ไหน (Vector of Midface)
- ความพร้อมของคนไข้ ทั้งด้านงบประมาณ, ค่าใช้จ่าย, เวลาในการพักฟื้น และการยอมรับข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี (Pros & Cons)
- ความถนัดของแพทย์แต่ละท่าน (Technical Skills)
ปัญหาตาล่างที่พบบ่อยได้แก่
- กรณีที่มีหนังส่วนเกิน หรือมีรอยย่นใต้ตา (Static & Fine Wrinkle / Skin Redundancy) การแก้ไขคือ การผ่าตัดหนังส่วนเกินออก (Skin Excision)
- กรณีที่มีริ้วรอยใต้ตาที่เห็นชัดเวลาแสดงสีหน้า เช่น เวลายิ้ม (Dynamic Wrinkle) การแก้ไขคือ การฉีด Botulinum Toxin เพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตา (Orbicularis Oculi) เป็นครั้งคราว (ทุก 4-6 เดือน)
- กรณีที่มีปัญหาร่องใต้ตา (Tear Trough) การแก้ไข สามารทำได้หลายวิธีเช่น
- การฉีด Filler
- การเติมเต็มไขมัน (Fat Graft)
- การย้ายถุงไขมันใต้ตา (Orbital Fat Repositioning)
- กรณีที่มีร่องแก้มชัดมีทางเลือก 2 วิธี ตามความลึกของร่องแก้มและปัญหาที่พบร่วมด้วย ได้แก่
- การฉีด Filler หรือ Fat Graft
- การดึงร่องแก้ม (Midface Lift Surgery) ผ่านแผลบริเวณใต้ตา (Subciliary Approach) หรือผ่านแผลบริเวณขมับ (Transtemporal Approach)
- กรณีมีปัญหาถุงใต้ตา (Eyebags)
วิธีการแก้ไข
ปัญหาถุงใต้ตาในปัจจุบัน หมอแยกได้เป็น 2 วิธี หลักๆ แล้วกันครับ
วิธีที่ 1
การเติมเต็มบริเวณใต้ต่อถุงใต้ตาให้แลดูเรียบเนียนขึ้น (Camouflage Filling) เหมาะสำหรับกรณีที่ถุงใต้ตาไม่มาก และกรณีแก้ม หรือ ขอบตาล่างยุบตัว (Negative Vector of Midface) สารเติมเต็มที่นิยมใช้มี 2 ประเภทได้แก่
1.1) การเติม Filler (Hyaluronic Acid ; HA)
เป็นสารสังเคราะห์ทางการแพทย์ที่มีอายุอยู่ได้นานตั้งแต่ 4-18 เดือนตามขนาดโมเลกุล และเทคโนโลยีการผลิต HA ของแต่ละบริษัทฯ สาร HA ที่ขนาดโมเลกุลเล็กก็จะมีข้อดี คือ เติมได้เรียบเนียนแต่อายุก็จะสั้น (4-6 เดือน) และต้องเติมบ่อ ส่วน HA ที่มีโมเลกุลใหญ่ก็จะอยู่ได้นาน (12-18 เดือน) แต่ก็อาจจะรู้สึกคลำได้ก้อน และไม่เรียบเนียน ในบางเคสแพทย์จะพิจารณาใช้สาร HA ทั้ง 2 ขนาดร่วมกัน
1.2) การเติมไขมัน (Autologous Fat Graft)
โดยใช้ไขมันส่วนเกินของตัวเองบริเวณท้องหรือต้นขาเป็นต้น มาเติมเต็ม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสิ่งที่เป็นธรรมชาติของเราเองมาใช้, บริเวณใต้ตา การเติมไขมันได้ผลดีและอัตราการอยู่รอด (Survival Rate) ของเซลล์ไขมันค่อนข้างสูงกว่าบริเวณอื่นๆ ของใบหน้า
ข้อดีของการเติมเต็มไขมันบริเวณใต้ตาอีกหนึ่งอย่างคือ ถ้าเซลล์ไขมันแข็งแรงดีและร่างกายของเราสามารถสร้างเส้นเลือดใหม่เข้าไปแทรกเพื่อหล่อเลี้ยงได้สมบูรณ์ (Neovascularization) โอกาสที่เซลล์ไขมันจะติด (Take Graft) และคงอยู่ได้นาน หรืออยู่ได้ตลอดชีวิต ก็จะสูงขึ้นไม่ต้องเติมซ้ำบ่อยๆ
วิธีที่ 2
การปรับแต่งไขมันบริเวณใต้ตา ( Inferior Orbital Fat Management) มีอยู่ 2 วิธี คือ
2.1) การเอาถุงใต้ตาออก (Eye Bag Removal)
ในกรณีที่มีถุงใต้ตามาก โดยแพทย์จะพิจารณาเอาออกได้ 2 วิธี คือ
- เอาออกโดยผ่านแผลด้านในตา โดยไม่มีแผลด้านนอกให้เห็น
(Trans Conjunctival Approach) - เอาออกโดยผ่านแผลด้านนอก หรือใต้ตาประมาณ 2 มิลลิเมตร (Subcilliary Approach) แพทย์จะเลือกใช้ในกรณีที่ต้องการตัดหนังส่วนเกินบริเวณใต้ตาจะออก หรือต้องการดึงร่องแก้ม (Midface Lift) ร่วมด้วย
ในบางกรณีแพทย์จะพิจารณาเอาไขมันถุงใต้ตาออกเพื่อปรับพื้นที่ให้เรียบแล้วค่อยเติมเต็ม (Retouch) ด้วยไขมัน (Nano Fat Graft) ให้ดูเรียบเนียนมีมิติที่สมดุลย์กับแก้มทันทีหลังผ่าตัดหรือรอ 1-3 เดือน หลังผ่าตัด
2.2) การย้ายไขมันจากถุงใต้ตาโดยไม่ตัดออกหรือตัดออกบางส่วน
แล้วย้ายไขมันไปคลุมบริเวณขอบตาล่าง หรือบริเวณรอยต่อระหว่างขอบตาล่างและแก้ม ที่มีการยุบตัวลง (Orbital Fat Repositioning Technique) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน คือได้ทั้งลดขนาดถุงใต้ตาออก และเติมไขมันบริเวณรอยต่อของเบ้าตาและแก้มอีกด้วย แต่ในกรณีที่มีการยุบตัวของแก้มและขอบตา. ไขมันที่ย้ายอาจไม่เพียงพอ. แพทย์อาจพิจารณาเติมไขมัน (Fat Graft) จากบริเวณอื่น ๆ เพื่อให้เรียบเนียน มีมิติสมบูรณ์มากขึ้นครับ
ท้ายนี้ หมอขอฝากคำแนะนำสำหรับคนที่ไม่อยากให้ตาล่างของตัวเองเสื่อมก่อนวัยอันควร หรือต้องการชะลอความเสื่อมบริเวณใต้ตาให้เกิดช้าที่สุด ดังนี้ครับ
- พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายมีเวลาในการซ่อมแซมตัวเอง รวมถึงผิวหนังบริเวณใต้ตาโดยการเสริมสร้างเส้นใย Collagen มาทดแทนได้ทัน กับการถูกทำลายจากความเครียด, แสงแดด มลพิษในปัจจุบัน. โดยเฉพาะในคนที่อายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป ขบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังจะน้อยกว่าขบวนการเส้นใยคอลลาเจน ทีมีส่วนสำคัญต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของถุงหุ้มไขมัน (Orbital Septum) ที่จะป้องกันการโป่งพองของไขมันใต้ตา
- คนที่มีปัญหาหรือโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ของเยื่อบุตา (Allergic Conjunctivitis) และโรคโพรงจมูกอักเสบแบบภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) ควรดูแลตัวเอง และควบคุมภูมิแพ้ไม่ให้กำเริบบ่อย ๆ อย่างถูกวิธี และเหมาะสม. หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเนื่องจากพยาธิสภาพของโรคภูมิแพ้เอง และการขยี้ตาจากอาการคัน จะส่งเสริมให้เกิดอาการบวมและรอยคล้ำใต้ตาให้มากขึ้น
- ผิวหนังบริเวณรอบตา (Eyelid Skin) เป็นผิวหนังที่บาง จึงเกิดอาการแพ้, ระคายเคือง และแห้งได้ง่าย จึงเป็นปัจจัยให้เกิดรอยย่นคล้ำใต้ตาได้ง่ายมากๆ
ดังนั้นการดูแลและถนอมผิวหนังบริเวณใต้ตาเป็นประจำ. สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการทาครีมบำรุงแบบอ่อนโยนเช้า-เย็น และในแต่ละวันดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเก็บกักความชื้นให้พอเหมาะต่อผิวหนังตลอดเวลา ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของผลิตภัณฑ์ผิวรอบดวงตา (Eye Cream)
“ Lower eyelid change is the earliest signs of aging face ”